วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กินอย่างถูกต้องป้องกัน “อัลไซเมอร์”

     
             
   “อัลไซเมอร์” เป็นอาการสมองฝ่อที่เกิดจากปัญหาเนื้อสมองเกิดการหดตัวลง เซลล์สมองบางส่วนถูกทำลายไป ในสมัยก่อนคนไทยไม่ค่อยมีอาการนี้เมื่อเทียบกับฝรั่ง แต่ในปัจจุบันเริ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุเกิน 65 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้เป็นอย่างสูง ส่วนวิธีการลดความเสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์นอกจากลดความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เรื่องอาหารการกินก็เป็นตัวช่วยสำคัญด้วยเช่นกัน

                นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เปิดเผยข้อมูลว่าการกินอาหารบางชนิดช่วยลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ได้ถึงร้อยละ 40 นั่นคืออาหารที่ดีต่อภาวะหัวใจ เพราะภาวะหลอดเลือดดีย่อมส่งผลให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองดีตามไปด้วย

                ดังนั้นจึงต้องรู้จักเลือกกินอาหารให้เป็น เช่น กินผัก-ผลไม้และถั่วให้มากขึ้น ร่างกายจะได้รับกรดโฟลิกซึ่งช่วยลดภาวะอักเสบในหลอดเลือด ลดความเสี่ยงปัญหาหลอดเลือดตีบที่จะมีผลต่อสมองโดยตรง รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสื่อมของหลอดเลือดและเซลล์สมอง

                เนื้อแดง อย่าง เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ ที่มีไขมันอิ่มตัว และกรดไขมันโอเมก้า 6 ชนิดที่มีปัญหาซ่อนอยู่ สร้างปัญหามากกว่า หากจะกินเนื้อให้กินเนื้อไก่ที่เนื้อขาว (ไม่รวมหนัง)  เพราะในเนื้อขาวจะมีไขมันแทรกตัวอยู่น้อยกว่า แม้กระทั่งนมชนิดมีไขมันเต็ม ผลิตภัณฑ์จากนมอย่างเนยแข็ง ก็มีผลไม่ต่างจากเนื้อแดงเช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือกดื่มนมชนิดพร่องมันเนยหรือชนิดปลอดมันเนยแทน

                หรือการใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร น้ำมันมะกอกจะมีกรดไขมันอิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งหรือกรดโมโนอยู่มาก มีผลดีต่อหลอดเลือด แต่ราคาสูง อาจเลือกใช้น้ำมันที่มีกรดโอเลอิกแทน ซึ่งเรียงลำดับได้ดังนี้ น้ำมันถั่วมีกรดโอเลอิก 50 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันงามี 41 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันรำข้าว 40 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันปาล์มโอเลอินมี 38 เปอร์เซ็นต์ และน้ำมันถั่วเหลืองมี 23 เปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ควรกินมากเกินไป

    
               

 อาหารที่พิเศษต่อสมองมาก ราคาไม่แพง และมีมากมายในบ้านเราได้แก่ “ปลา” ไม่ว่าจะปลาทะเลหรือปลาน้ำจืด เพราะเนื้อปลามีโปรตีนที่ย่อยง่าย มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์อเนกอนันต์ต่อหลอดเลือดหัวใจอันจะส่งผลให้สมองแข็งแรง ช่วยสกัดกั้นโรคอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี 

หวังว่าทุกคนจะเลือกอาหารที่ดีมีประโยชน์มารับประทานกันนะครับแลช้วกลับมาพบกันใหม่กับ  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิธีรักษา "สายตาสั้น' ด้วยวิธีธรรมชาติ

eyerelax

หากสายตา ของคุณสั้นมากจนต้องสวมแว่น เชื่อได้เลยว่า มันคงจะ ทำให้คุณรำคาญพอดู บุคลิกก็ดูยังกะคนแก่เรียน ยิ่งพอจะไปเล่นกีฬาอะไรๆ เพื่อลดเชพก็รู้สึกว่า เจ้าแว่นตัวดี มันเกะกะเหลือเกิน โลกนี้ไม่สดใสเสียเลย หลายคน พอหันลองไปใช้ คอนแทคเลนส์แทน ก็รู้สึกจั๊กจี้ตาพิลึก ต้องมานั่งล้างก่อนนอนทุกคืน เผลอๆ ตาอันบอบบางก็ต้องมาเสี่ยงต่อการติดเชื้ออีกด้วย 
ไม่นานมานี้ เราได้พบบทความหนึ่ง ในนิตยสาร ด้านสุขภาพของอเมริกา เกี่ยวกับวิธี ที่จะช่วยบำบัด อาการสายตาสั้น ของคุณให้ดีขึ้น ซึ่งหากคุณ ได้ลองนำไปปฏิบัติประมาณ 2-3 อาทิตย์ทุกวัน คุณจะรู้สึกว่าสายตาของคุณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บางคน ต้องไปค้นแว่นเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้ตั้งนานกลับมาใช้อีก 
วิธีง่ายๆที่จะช่วยบำบัดอาการสาย ตาสั้น

สิ่งที่ต้องทำเป็นนิสัย  สวมแว่นสายตาเมื่อจำเป็นเท่านั้น พยายามอย่าสวมแว่นเท่าที่จะทำได้ เพราะมันจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อตา และระบบประสาทรอบดวงตาของคุณ รู้สึกผ่อนคลาย 

วิธีอ่านหนังสืออย่างถูกต้อง เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องอ่านหนังสือ ต้องถอดแว่นออกทุกครั้ง แล้วพยายามอ่านหนังสือโดยที่ พยายามให้ตาทั้งสองข้างอยู่ห่างจากหนังสือมากที่สุด แต่ต้องเป็นระยะที่สามารถอ่านตัวหนังสือได้อย่างชัดเจน หากทำจนเป็นนิสัยแล้ว คุณจะรู้สึกว่า คุณจะค่อยๆ สามารถอ่านหนังสือได้ห่างมากขึ้นไปเรื่อยๆ (สำหรับคนสายตาสั้นไม่เท่ากัน ระยะห่างที่ชัดเจนของตาแต่ละข้างนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างกัน ดังนั้นเวลาอ่านหนังสือ ให้ใช้มือข้างใดก็ได้ปิดตาข้างหนึ่งไว้ แล้วค่อยๆ อ่านด้วยตาทีละข้างสลับกันไป แต่ถ้าสายตาทั้งสองข้างต่างกันแค่นิดเดียว อ่านพร้อมกันทั้งสองข้างเลยก็ไม่เป็นไร) 

กระพริบตาให้บ่อย การฝึกกระพริบตาให้บ่อย (ประมาณ 1 ครั้ง ต่อ 10 วินาที) จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อตารู้สึกผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด 

วิธีบำบัดที่ ต้องทำเป็นประจำ (ต้องทำทุกวิธี)  
การบริหารกล้ามเนื้อดวงตา ให้ชำเลืองตาขึ้นไปข้างบน ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วชำเลืองตาลงข้างล่าง ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วชำเลืองตาไปทางซ้าย ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วชำเลืองตาไปทางขวา ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที เสร็จแล้วพักตาสักพัก แล้วเริ่มทำใหม่ไปอีกเรื่อยๆ วันละ 10 นาที 

การบำบัดด้วยน้ำเย็น เมื่อ ล้างหน้าเสร็จ ก่อนจะอาบน้ำ ให้เตรียมน้ำเย็น (ไม่ใช่น้ำอุ่น) ใส่กาละมังเล็กๆ ไว้ ก้มหน้าลงไปเล็กน้อย ทำมือทั้งสองให้เป็นรูปถ้วย แล้วกวักน้ำให้เต็ม ให้มืออยู่ห่างจากดวงตาประมาณ 6 เซนติเมตร หลับตาลง แล้วค่อยๆ สาดน้ำมากระทบเปลือกตาเบาๆ น้ำเย็นจะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบดวงตารู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้น (ให้ทำทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 10 นาที) 

การบำบัดด้วยการสร้างมโนภาพ ให้หาหนังสืออะไรก็ได้มา 1 เล่ม เปิดหน้าไหนก็ได้ที่มีตัวหนังสือ ถอดแว่นออก แล้วเลือกคำอะไรก็ได้ 1 คำจากหน้านั้น จำรูปร่าง ของคำนั้นไว้ให้ดี ยื่นหนังสือออกไปให้ไกล ในระยะที่คุณมองเห็นไม่ชัดและเบลอ แล้วหลับตาลง นึกภาพในใจให้รู้สึกว่าคุณเห็นคำนั้นได้อย่างชัดเจน การทำเช่นนี้ จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาค่อยๆ ปรับโฟกัส ให้ดีขึ้นได้อย่างอัตโนมัติ (ให้ทำทุกวัน วันละประมาณ 10 นาที)  

การบำบัดด้วยอุ้งมือ ก่อนนอน ให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่นั่งสบายๆ หลับตาลง แล้วใช้อุ้งมือซ้ายปิดตาซ้ายเบาๆ และใช้อุ้งมือขวาปิดตาขวาเบาๆ จะช่วยทำให้ไม่มี แสงเล็ดลอด เข้าสู่ตาได้ ความมืดมิดที่เห็น จะทำให้ดวงตารู้สึกสบายกว่าปกติ (ให้ทำทุกวันก่อนนอน วันละอย่างต่ำ 45 นาที) 

ไม่นานนัก คุณคงต้องโยน แว่นสายตาของคุณลงไปในถังขยะแล้ว (จากวารสารอเมริกัน) อิอิ แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หลักการง่าย ๆ ในการรับประทานอาหาร ให้ถูกต้องและได้ประโยชน์


   เนื่องจากในปัจจุบันทางการแพทย์เรามีความเชื่อกันว่า อาหาร เปรียบเสมือนยาที่ช่วยบำรุงส่งเสริมสุขภาพของเรา ถ้าเรารับประทานอาหารอย่างถูกต้องสุขภาพของเราก็จะดี ในทางตรงกันข้ามถ้ารับประทานอาหารไม่ถูกต้อง สุขภาพก็จะพลอยแย่ไปด้วย

วันนี้เรามีหลักการง่าย ๆ ... ในการรับประทานอาหาร  ให้ถูกต้องและได้ประโยชน์ ดังนี้ ไปดูกันเลยครับ เริ่มต้นด้วย


 1. ไม่หิว อย่ากินครับ 

มีหลายคนรับประทานอาหารเพราะความอยาก การทำอย่างนี้จะทำให้เราได้สารอาหารเกินความจำเป็น ทำให้เกิดโรคอ้วน ตามมาด้วยภาวะอื่นๆ ดังนั้น ก่อนจะรับประทานอะไร เราต้องถามตัวเองเสมอว่า "เราหิวหรือไม่"


 2. เวลากิน กินอย่างมีสติ

ต้องเคี้ยวช้า ๆ เพื่อให้อาหารค่อยๆ ถูกย่อยโดยน้ำลายตั้งแต่อยู่ในปาก ทำให้เราได้สัมผัสสุนทรีย์แห่งรสชาติของอาหาร การเคี้ยวละเอียด ๆ ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความอิ่มโดยที่เรายังรับประทานอาหารในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป ก็จะทำให้ไม่เกิดปัญหาของการได้รับสารอาหารเกินความจำเป็นอีกด้วย

 

3. ของหวาน ยิ่งกิน ยิ่งหิว (ใช่เลย)

พวกขนมหวาน พอเรารับประทานเข้าไปปุ๊บก็จะถูกดูดซึมปั๊บ ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นอย่างทันที ตับอ่อนของเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องปล่อยอินซูลีน(Insulin) ออกมาจำนวนมากอย่างรวดเร็ว เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด การที่อินซูลีนถูกปล่อยออกมาจำนวนมากอย่างรวดเร็วทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดลดลงต่ำ พอน้ำตาลในกระแสเลือดลดลงต่ำก็จะทำให้เรา "หิว" ดังนั้นเราจึงจะพบว่าคนที่ชอบรับประทานของหวานมักจะอ้วนเสมอ

 

4. อาหารใกล้ธรรมชาติที่สุด จะดีที่สุด

อาหารที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม นอกจากอาจจะมีสารเคมีอย่างอื่นตกค้างอยู่แล้ว ตัวอาหารนั้นเองยังอาจจะเป็นอันตรายแก่ร่างกายเราได้ เช่น การรับประทานวิตามิน A เกินขนาดอาจเป็นพิษต่อตับได้ ตรงกันข้ามหากเรารับประทานมะละกอสุกสัก 1 ผล เราจะได้เบต้าแคโรทีนจำนวนมาก แต่ ร่างกายจะสร้างวิตามิน A จากเบต้าแคโรทีน เพียงเท่าที่่ร่างกายเราต้องการเท่านั้นไม่มีทางที่จะเกินขนาดได้เลย

 

5. คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร

ถ้าเราเลือกรับประทานแต่ผัก ผลไม้ เป็นอาหาร โดยไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เราอาจจะต้องรับประทานวิตามินหรือแร่ธาตุบางอย่างเป็นการเสริม แต่สำหรับคนที่รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ จะได้รับประโยชน์ทางอาหารมากกว่า


 6. ไข่แดง เป็นอาหารที่ดี

ไข่แดงมี เลซีติน(Lecithin) ซึ่งเป็นสารสำคัญต่อสมองคนเรา หลายคนบอกว่าหากไม่รับประทานไข่แดงติดต่อกันหลายวันจะมีความรู้สึกโง่ ๆ งง ๆ พอได้รับประทานไข่แดงอาการเหล่านั้นก็จะหมดไป คนที่สุขภาพแข็งแรงควรรับประทานไข่แดงอย่างน้อยวันละ 1 ฟอง

 

7. พริกทำให้อาหารไทยอร่อยทุกจาน

ในพริกจะมีสาร แคปไซซีน(Capsaicin) ซึ่งทำให้หลอดเลือดของเราขยายตัวขึ้น ทำให้เลือดลมเดินสะดวก เชื่อกันว่าหากรับประทานพริกจำนวนน้อยๆ ทุก ๆวัน จะช่วยทุเลาอาการปวดเข่า ปวดข้อ ลงได้ และอาจทำให้อาการเบาหวานดีขึ้นด้วย ในปัจจุบันเราพบว่าพริกนอกจากจะไม่กัดกระเพาะอาหารแล้ว มันยังช่วยกระตุ้นให้เกิดเยื่อเมือกบาง ๆ มาคอยเคลือบผิวเยื่อบุของกระเพาะอาหารอันเป็นการป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารอีกด้วย แต่ถ้าหากกำลังเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ถ้ารับประทานพริกเข้าไปจะทำให้ระคายแผล ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดได้


 8. เหล้า เบียร์ ไวน์ มีประโยชน์

การดื่มแอลกอฮอล์ วันละ 1 หน่วย นอกจากจะไม่มีโทษแล้วยังมีประโยชน์อีกด้วย เพราะแอลกอฮอล์จำนวนน้อย ๆ จะทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัวทั่วร่างกาย ทำให้การควบคุมความดันโลหิตได้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยให้เราหลับสบาย 

แอลกอฮอล์ 1 หน่วย มีจำนวนเท่ากับ ไวน์ประมาณ 100 ซีซี / เบียร์ประมาณ 200 ซีซี / วิสกี้ ประมาณ 30 ซีซี ต้องเน้นนะคะว่าวันละ 1 หน่วยเท่านั้น และถ้าจะให้ดีควรเป็นหลังรับประทานอาหารเย็น เราจะได้หลับสบาย หากดื่มแอลกอฮอล์มากกว่านี้จะไม่มีประโยชน์ นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เกิดโทษอีกมากมายตามมาอีกด้วย

Credit: smartsme


เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับหลักการง่ายๆในการรับประทานอาหาร ให้ถูกต้องและได้ประโยชน์หวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์นะครับผม แล้วกลับมาพบกันใหม่ที่นี่  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

15 กฎทองของการกิน


1.คุมปริมาณอาหารที่กิน

โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลอรีสูงจากไขมัน กินในปริมาณน้อยๆ อย่ากินจนอิ่มแปล้ เพราะนั่นหมายถึงคุณกำละงสะสมพลังงานส่วนเกินให้กับตัวเอง


2.เลือกกินอาหารให้หลากหลายชนิด

อาหารแต่ละชนิดมีสารอาหารต่างกันหรือถ้ามีสารอาหารเหมือนกันก็จะมีปริมาณต่างกัน ฉะนั้นการกินให้หลากหลายชนิดไม่เลือกที่รักมักที่ชัง จะทำให้เราได้รับสารอาหารหลากหลายชนิดอย่างทั่วถึง เหนืออื่นใดการเลือกกินอาหารให้หลากหลายชนิด ยังเป็นวิธีการลดสารพิษต่างๆที่ร่างกายได้รับ เช่นจากยาฆ่าแมลงที่ใช้ในการปลูกผักซึ่งอาจจะสะสมไว้มากในพืชผักบางชนิดด้วย


3.เน้นอาหารที่มีกากใยสูง

เช่น ผักผลไม้ ถั่ว และธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งจัดเป็นคาร์ดบไฮเดรตที่ดี มีสารอาหารสูงแต่พลังงานต่ำ เราควรกินใยอาหารให้ได้วันละ 20-35 กรัม จะช่วยให้อาหารคาร์โบไฮเดรตถูกดูดซึมช้าลง ร่างกายใช้อินซูลินน้อยลงอย่างมีประสิทธิภาพเป็นการรักษระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ นิกจาดนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น อาหารที่มีกากใยสูงมักจะมีวิตามินและแร่ธาตุสำคัญสูงรวมทั้งสารพฤกษเคมีซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมุลอิสระสูงช่วยต้านวัยต้านโรคเช่นกัน


4.กินผักผลไม้วันละ 8-9 ส่วน 

( ผัก = 2-21/2 ถ้วยตวง หรือ 4-5 อุ้งมือผู้หญิง และผลไม้ 11/2 - 2 ถ้วยตวงหรือ 3-4 อุ้งมือ ) พยายามเลือกกินผักหลายสีคละกัน สำหรับผลม้ เลอกผลไม้สดแทนน้ำผลไม้ ซึ่งไม่มีใยอาหารหรือมีน้อยมาก


5.เลือกธัญพืชไม่ขัดสีทุกครั้งที่มีโอกาส

โดยปกติครึ่งหนึ่งของข้าวแป้งที่ควรกินในชีวิตประจำวันควรเป็นธัญพืชไม่ขัดสี เช่นหากในหนึ่งวันคุณกินข้าวทั้งหมด 8 ทัพพี ครึ่งหนึ่งควรเป็นข้าวซ้อมมือ หรือขนมปังโฮลวีตหรือธัญพืชต่างๆ โดยแลกเปลี่ยนปริมาณดังนี้ ขนมปัง 1 แผ่น = ข้าวซ้อมมือสุก ข้าวโอ๊ต หรือข้าวโพดต้ม หรือเผือก หรือมัน หรือฟักทอง หรือลูกเดือย หรือเส้นต่างๆ 1/2 ถ้วยตวง ( 1 อุ้งมือผู้หญิง )


6.จำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตขัดสี

เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว เส้นต่างๆ และขนมของว่าง อาหารเหล่านี้มีใยอาหารน้อยมาก นอกจากนี้กำจัดอาหารที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานว่างเปล่า แต่ขาดสารอาหารที่ดี วิตามิน แร่ธาตุ และกากใยอาหาร แต่กลับช่วยเพิ่มน้ำหนักเพิ่มโรคได้ดี อาหารที่มีน้ำตาลส่วนใหญ่มักจะมีไขมันสูงและพลังงานหรือแคลอรีสูง


7.เลือกกินไขมันดี

ซึ่งมีมากในปลาทะเล ถั่วปากแข็ง อะโวคาโดและน้ำมันพืช ขณะเดียวกันก็ควรลดไขมันไม่ดีหรืออาหารที่ไม่มีประโยชน์ มิฉะนั้นจะทำให้ได้พลังงานเกิน ใช้น้ำมันพืชที่มีไขมันอิ่มตัวน้อยที่สุด กินปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพราะปลาทะเลเป็นแหล่งที่ดีของกรดโอเมก้า 3 ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และสมองเสื่อม


8.เลี่ยงไขมันอิ่มตัว

ซึ่งมีมากในเนื้อสัตว์ติดมันโดยเฉพาะ วัว หมู ไก่ เวลากินอาหารพวกนี้ ควรเลือกเนื้อล้วนเลาะไขมันทิ้งให้หมด เลี่ยงอาหารที่มองแล้วมันเยิ้มซึ่งจะไปสะสมที่พุง


9.จำกัดหรือเลี่ยงไขมันทรานซ์

ซึ่งเป็นไขมันแปรรูปจากน้ำมันพืช มีมากในเนยเทียม หรือมาการีน เนยขาว เบเกอรีประเภทเค้ก คุกกี้ แครกเกอร์ กินได้แต่ต้องกินน้อยๆ หรือนานๆกินที


10.จำกัดอาหารคอเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/วัน

แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ความดันสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคหัวใจ เบาหวาน ควรลดปริมาณอาหารคอเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม 


11.จำกัดอาหารที่โซเดียมสูง

และเพิ่มอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ส้ม กล้วย มันฝรั่ง ถั่ว เป็นต้น โซเดียมมีผลในการเพิ่มความดันโลหิตในคนส่วนใหญ่และมีผลต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ควรบริโภคโซเดียมวันละไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม ( น้อยกว่าเกลือ 1 ช้อนชา ) และสำหรับผู้ที่อายุ 51 ปีขึ้นไป คนที่มีความดันโลหิตสูงเป็นทุนเดิม เบาหวานและโรคไตเรื้อรัง ควรจำกัดโซเดียมไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม (เกลือ 2/3 ช้อนชา) 


12.บริโภคแคลเซียมและวิตามินดีให้เพียงพอ

เพื่อสุขภาพของกระดูกและฟันและุขภาพด้านอื่นๆ สำหรับวิตามินดี อาจจะไม่ง่ายนักหากจะกินจากอาหารให้พอหรือจะรับจากแสงแดดก็อาจจะค่อนข้างเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและอาจจะได้ไม่สม่ำเสมอจากแสงแดด 



13.กินวิตามินอาหารแทนที่จะกินจากเม็ดยา

วิตามินกินแทนอาหารธรรมชาติที่ดีไม่ได้เพราะอาหารจะให้มากกว่าวิตามินและแร่ธาตุ อาหารจะให้วิตามินและแร่ธาตุ ใยอหาร สารต้านมะเร็ง แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ วิตามินแร่ธาตุรวมจะช่วยเติมสารที่พร่องไปได้ วิตามินและแร่ธาตุที่ควรพิจารณาเสริมคือแคลเซียมและวิตามินดี ปรีกษาแพทย์ นักกำหนดอาหาร และเภสัชกรก่อนเสริม


14.ระวังเครื่องดื่มที่มีแคลอรี

ปัจจุบันในชีวิตประจำวัน คนเราได้รับพลังงานจากเครื่องดื่มมากวว่า 20% ของพลลังงานที่ควรได้ทั้งวัน เครื่องดื่มที่ให้พลังงานบางชนิดอาจจะเป็นเครื่องดื่มที่ดี เช่น นมพร่องมันเนย และนมขาดไขมัน และน้ำผลไม้ 100% ซึ่งต้องจำกัดปริมาณการดื่ม แต่เครื่องดื่มที่คนเารมักจะดื่มกันในชีวิตประจำวันคือ น้ำอัดลม น้ำหลานและเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ซึ่งให้พลังงานฟุ่มเฟือยแก่ร่างกายโดยไม่ให้สารอาหารที่จำเป็น ทำให้คนในยุคนี้มีปัญหาน้ำหนักตัวง่ายขึ้น


15.ถ้าดื่มแอลกอฮอลล์จงดื่มแต่พอควร

ก็คือวันละ 1 ดริ๊งสำหรับผู้หญิง และไม่เกิน 2 ดริ๊งสำหรับผู้ชาย แอลกอฮอลล์เพียงเล็กน้อยให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ถ้ามากไปจะนำไปสู่อาหารสุขภาพ

 

ไม่มีคำว่าสายเกินไปหากจะเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียแต่วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารหรือการออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดีตลอดไป

" เพราะสุขภาพที่ดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องกินให้เป็น "

credit:smartsme
แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เมื่อลดน้ำหนักได้ แต่ทำไมหุ่นไม่เป๊ะ

 
เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไมน้ำหนักเราก็ลงแล้วแต่ทำไมหุ่นเรายังไม่เฟิร์มเลยน้ำหนักก็ลดลงเยอะแล้ว ลองมาดูกันครับว่าทำไมกันหนอ ?
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการ “ลดน้ำหนัก” เป็นเวลาพอสมควร พบว่าน้ำหนักก็ลดลงตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่เหมือนว่าทำไม ถึงไม่มีวี่แววที่จะผอมหุ่นดีเลยสักที เท่าที่พบก็เพียงแต่น้ำหนักที่ลดลงพร้อมกับขนาดตัวที่ลดลง แต่ทำไมรายละเอียดกล้ามเนื้อ หรือ โค้งเว้าของร่างกายก็ไม่ปรากฏเสียที
มีความจริงเรื่องหนึ่งที่สวนทางกับความเชื่อต่างๆที่เคยได้รับรู้มาโดยสิ้นเชิง จริงๆแล้ว การลดน้ำหนักนั้น ไม่เท่ากับ ผอมลง เสมอไป
ความเป็นจริงสามารถตอบด้วยเรื่องของ ปริมาณไขมันในร่างกาย ซึ่งการที่จะมีความคมชัดหรือรูปร่างที่ชัด หรือ Lean นั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรที่เรียกว่า เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ซึ่งหมายถึงร้อยละของปริมาณไขมันที่มีในร่างกาย “ไม่ได้หมายถึงปริมาณว่ามากหรือน้อย” แต่เทียบเป็นร้อยละว่ามากหรือน้อย เช่น
A มีน้ำหนักตัว 100 กก. โดยที่มีไขมันในร่างกาย 20 กก. และส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ไขมันอีก 80กก.  ซึ่งเมื่อคำนวนแล้ว A มีปริมาณไขมันเป็น 20% ของร่างกาย
B มีน้ำหนักตัว 100 กก. โดยที่มีไขมันในร่างกาย 10 กก. และส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ไขมันอีก 90 กก.  และเมื่อคำนวนแล้ว B มีปริมาณไขมันในร่างกาย เพียง 10% ในร่างกาย
สรุปแล้ว A จะมีปริมาณไขมันเยอะกว่า B ถึง 10กก.  ดังนั้นแล้วแม้ว่าน้ำหนักจะเท่ากัน แต่อย่างไรแล้ว A ย่อมมีรูปร่างที่ดีกว่า B อย่างแน่นอ
จากภาพตัวอย่างนี้ทำให้เราเห็นภาพรวมของเรื่องร้อยละของปริมาณไขมันในร่างกายได้เป็นอย่างดี และต่อไปนี้คือเหตุผลว่าทำไมการที่เรา ลดน้ำหนักได้แล้วแต่ไม่มีวี่แววที่จะผอมลงสักที
 
ดังนั้นวิธีที่ถูกต้องคือ
1.การลดปริมาณไขมันโดยตรง โดยที่ไม่อิงน้ำหนักตัวมากจนเกินไป ทำได้โดยการวัดปริมาณในร่างกายด้วยวิธีง่ายๆ เช่น การใช้คาลิปเปอร์วัดความหนาของชั้นผิวหนังเป็นตัววัดผลว่า เราลดไขมันได้จริงหรือไม่เป็นต้น ถึงแม้น้ำหนักจะลดน้อยกว่า แต่ร่างกายดูดีขึ้นมากกว่าเพราะส่วนที่ลดไปคือไขมันล้วนๆนั่นเอง
2.เพิ่มกล้ามเนื้อ การเพิ่มกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการพัฒนารูปร่างและปรับปรุงรูปร่างให้ ผอมลงอย่างดูดี ไม่เหี่ยวย้วย อีกกรณีหนึ่งที่อาจพบได้ คือ การที่ A มีน้ำหนักตัว 100กก. มีไขมันที่ 20%  หรือ 20กก. โดย A ทำการเพิ่มกล้ามเนื้อในร่างกายอีก 5 กก. และลดไขมันอีก 10 กก. ทำให้น้ำหนักตัวของ A เป็น  85 กก. โดยที่มีไขมันในร่างกายเหลือเพียง 10 กก. เมื่อคิดเป็นร้อยละจะพบว่า  A นั้นมีไขมัน 11.7% และแน่นอน A นั้นดู “ผอมลง ลีนขึ้น” ต่างจากการลดแบบผิดวิธีคือการอดอาหารและเบิร์นอย่างเดียว ที่จะทำให้ %ไขมันเหลือเพียง 17.6%  และนี่คือเหตุผลว่าทำไม การลดน้ำหนัก จึงไม่เท่ากับผอมเสมอไป

Credit: planforfit

เป็นอย่างไรกันครับหวังว่าจะได้ประโยชน์ไปอย่างเต็มที่นะครับ ลดน้ำหนักต้องลดให้ถูกวิธีนะครับเพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์ทุกด้าน แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ


วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

6 วิธีสุขใจให้อายุยืน


1.หัวเราะ
 นักหทัยวิทยาในสหรัฐเผยว่า การหัวเราะ 100-200 ครั้ง เทียบได้กับการเดินเร็ว 10 นาที และเป็นวิธีธรรมชาติช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคมากขึ้น

 2.ชีวิตคู่ ต้องจัดการให้ลงตัว
 ผลการวิจัยของ Health Psychology Journal ในสหรัฐเผยว่า คู่ชายหญิงที่หย่าร้างกันมีอายุขัยสั้นกว่ากำหนด เพราะชีวิตตึงเครียดด้วยปัญหาที่ต้องคิด ในทางกลับกัน คู่ชายหญิงที่มีกิจกรรมบนเตียงบ่อยครั้งมีอายุยืนกว่า เพราะการมีเซ็กส์อย่างสม่ำเสมอช่วยคืนอายุให้ดูเด็กลงถึง 7 ปี  

3.ธรรมะ ธรรมโมเข้าไว้ 
ผลการวิจัยของ Internationnal Jounal for Psychiatry and Medicine เผยว่าความเครียด และอารมณขุ่นมัวคือ ต้นเหตุให้เจ็บป่วย และร่างกายสามารถขจัดมันออกไปได้ด้วยพลังของจิตใจที่สงบ ซึ่งเราสามารถฝึกจิตให้แข็งแรงได้ด้วยการเข้าโบสถ์ เข้าวัดฟังธรรม และการทำบุญ 

4.เข้าสมาคม 
การเข้าร่วมสมาคมกีฬา หรือการเข้าสมาคมในองค์กรช่วยเหลือต่างๆ นับเป็นสิ่งที่ดีต่อผู้สูงอายุ ผลการวิจัยของ Harvard University เผยว่า วิธีเหล่านี้จะทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกตังเองมีค่า และรู้สึกสนุกกับการใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายมากขึ้น 

 5.อยู่บ้าน ไม่ต้องพูดถึง งาน 
ผลการวิจัยของ Johns Hopkins University เผยว่า ผู้ที่ชอบเก็บงานไปทำที่บ้าน เสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ง่ายกว่า 20 เท่าของผู้ที่ไม่เก็บงานกลับไปทำที่บ้าน เนื่องจากเป็นการสะสมความเครียดให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว ภูมิคุ้มกันในร่างกายจึงลดต่ำลงเรื่อยๆ ผลที่ได้คือ แก่ก่อนวัยอันควร 

 6.เลี้ยงสัตว์ 
ผลการวิจัย University of Cambridge เผยว่า สัตว์เลี้ยงทำให้คนมองโลกในแง่ดี และมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย ครอบครั้วที่เลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสุนัข หรือแมวจะมีความเครียดน้อย กว่าครอบครัวที่ไม่เลี้ยงสัตว์อะไรเลย อีกทั้งยังมีอัตราการเจ็บป่วยจนต้องไปพบแพทย์น้อยครั้งกว่าด้วย 

 Credit:smartsme 

 แล้วกลับมาพบกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

การเลือกอาหารตามช่วงอายุ เพื่อสุขภาพที่ดี

      

       ช่วงวัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 หรืออายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ควรเลือกกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ และถั่วต่างๆ รวมถึง ข้าวและแป้งเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย ผัก ผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนม และแคลเซียมต่างๆ เป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย
     
       วัยขึ้นต้นเลข 3 ต้องระวังอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ และควรเลือกกินอาหารที่ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอล อย่างเช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีทที่มีใยอาหารสูง ซึ่งจะช่วยให้อิ่มท้องนานและมีผลดีต่อระบบลำไส้
     
      วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 สภาพร่างกายก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะผู้หญิง ผู้ชายก็จะเริ่มมีโรคต่างๆ ที่ไม่เคยออกอาการ ดังนั้นควรเลือกกินผัก ผลไม้ และอาหารที่มีกากใยสูง และสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง วิตามินซี  น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ และควรเลือกกินโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น เต้าหู้ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
     
       วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5  ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง และเลือกชนิดที่ไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน วัยนี้จะพบปัญหากระดูกเปราะ ควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ เช่น นม โยเกิร์ต ปลาตัวเล็ก ผักใบเขียวก็มี เช่น คะน้า กวางตุ้ง และบร็อคโคลี่ จะช่วยลดปัญหาเรื่องกระดูกให้รุนแรงน้อยลง

Credit:smartsme

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับการเลือกอาหารให้เข้ากับอายุนะครับแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ 

 B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อาหารที่ช่วยตับขับสารพิษ

วันนี้มาพบกับเรื่องเกี่ยวกับตับ มีอะไรบ้างเราลองไปรับชมกันครับว่ามีอะไรบ้าง เริ่มเรามารู้จักกับ ตับ กันครับว่ามีหน้าที่ทำอะไร

         ตับ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย และยังช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เมื่อตับแข็งแรงก็จะส่งผลต่อสุขภาพที่ดี เพราะตับช่วยลดการติดเชื้อ และขจัดของเสียออกจากร่างกาย การทานอาหารที่ดีเป็นประจำ จะช่วยแบ่งเบาภาระให้ตับได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อาหารที่ช่วยตับในการล้างพิษ

- กระเทียม หัวหอม มะนาว ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำ และกะหล่ำปลี เพราะจะทำให้สารพิษที่เจือปนมากับอาหารอื่นนั้นมีสภาพเป็นกลาง ช่วยเพิ่มผลิตน้ำดีที่ช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้

- องุ่น ส้ม แคนตาลูป มะละกอ พรุน ลูกเกด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยปกป้องตับจากอนุมูลอิสระทีมีปริมาณสูงขึ้นในกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย

- ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ซึ่งมีวิตามินบีสูง

- ผักผลไม้ที่อุดมไปด้วย วิตามินซี

- พืชที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียว ช่วยในการล้างพิษของตับ

- ไข่แดง ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อปลา ซึ่งมี เลซิติน ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของตับ

- เนื้อสับ ถั่วขาว เนื้อไก่ หอยนางรม มีธาตุสังกะสี ช่วยให้ตับทำหน้าที่ได้ดีขึ้น

        อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรทานอาหารที่มีไขมันสูง เพราะตับสามารถผลิตคอเลสเตอรอลได้เพียงพอต่อร่างกายอยู่แล้ว และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อหลีกเลี่ยงโรคตับแข็งนะครับ แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ 
B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ผัก 10 ชนิด... ที่ไม่กินไม่ได้แล้ว


วันนี้ก็นำเรื่องเกี่ยวกับผัก 10 ชนิดมาฝากกัน มาดูกันครับว่า มีอะไรบ้าง ให้ประโยชน์อะไรบ้าง เชิญรับชมได้เลยครับผม


ผัก 10 ชนิด... ที่ไม่กินไม่ได้แล้ว
1. ผักกาดขาว : ช่วยระบบย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ มีโฟเลตสูง ช่วยบำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์
2. ต้นหอม : มีน้ำมันหอมระเหย ช่วยบรรเทาอาการหวัด และมีสารฟลาโลนอยด์ช่วยต้านมะเร็ง
3. หอมหัวใหญ่ : ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
4. คะน้า : มีแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง
5. ตำลึง : มีวิตามินเอสูง ซึ่งดีต่อดวงตา พร้อมเส้นใยจับไนเตรต ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร
6. มะระ : มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นยาระบายอ่อนๆ ถ้านำมาคั้นน้ำดื่มจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
7. บัวบก : มีวิตามินบีสูง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย บำรุงสมองและความจำ บำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ
8. ชะอม : ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ขับลมในลำไส้ มีเส้นใยคอยจับอนุมูลอิสระ
9. ถั่วพู : มีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสารช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว
10. ผักชี : ช่วยขับลม บำรุงธาตุ ย่อยอาหาร มีน้ำมันหอมระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอและซีสูง

Credit: kapook

เป็นอย่างไรบ้างครับกับผัก10ชนิด หวังว่าทุกคนจะได้รับความรู้กันไปเต็มๆแล้วก็อย่าลืมทานผักกันนะครับผม แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชา กาแฟ เราควรดื่มตอนไหนดีนะ ?



วันนี้ผมก็กลับมาอีกครั้งกับเรื่องของชาและกาแฟ ด้วย ชา กาแฟ ด้วยคุณสมบัติต่างกัน วันนี้เราจึงนำความแตกต่างในการเลือกรับประทานมาฝากเพื่อนๆกันดูครับ ให้เพื่อนๆไปปรับใช้กันดูนะครับไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง


เมื่อคุณมีอาการหนาว สิ่งที่ควรดื่มคือ กาแฟ

หลังจากเพียงแค่ 10 นาทีที่ได้รับคาเฟอีนในกาแฟเข้าไปในร่างกาย คาเฟอีนจะทำให้มีการเต้นของหัวใจและความดันเลือดที่ดีขึ้น และสิ่งที่ผสมลงไปในกาแฟ เช่น พวกนม น้ำตาล ยังกลายเป็นพลังงานซึ่งทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นอีกด้วย

หากต้องการลดน้ำหนัก สิ่งที่คุณควรดื่มคือ ชา

เป็นข่าวดีครับ เพราะคาเฟอีนนั้น ช่วยทำให้คุณมีความอยากอาหารน้อยลง แต่การที่คุณดื่มกาแฟ นั้นไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักหรอกครับ เพราะมีทั้งนม ทั้งน้ำตาล การดื่มชา คือทางเลือกที่ดีที่สุดครับ เพราะนอกจากจะมีคาเฟอีนที่ทำให้ อยากอาหารน้อยลงแล้ว ในชา โดยเฉพาะชาเขียว มีสารที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้อีกด้วยครับ


หากคุณอยู่ในช่วงเพิ่มกล้ามเนื้อ สิ่งที่คุณควรดื่มคือ กาแฟ

ตามที่บอกไปด้านบนครับว่าชา มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมัน ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดควรเป็นกาแฟแล้วครับ และหากคุณดื่มกาแฟก่อนเข้าฟิตเนสประมาณ 1 ชม คาแฟอีนจะช่วยทำให้คุณออกกำลังกายได้นานขึ้น


หากคุณต้องการให้อารมณ์ดีขึ้น สิ่งที่คุณควรดื่มคือ ชา

หากต้องการความผ่อนคลายแล้วละก็เลือกดื่มชาจะดีที่สุดครับ เพราะกลิ่นของชาจะช่วยทำให้คุณใจเย็น และผ่อนคลาย ชาที่คุณเลือกดื่ม ก็เป็นเช่นพวก ชามะลิ หรือ ชาลาเวนเดอร์ หรือไม่ก็ชาเขียวเองก็ตาม ก่อนดืม ให้สูดกลิ่นที่ของชาร้อนๆก่อน แล้วค่อยๆจิบ แค่นี้ก็ช่วยสร้างรอยยิ้มในยามบ่ายได้ดีเลยละครับ


Credit: Sanook.com

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเรื่องราวของชาและกาแฟ เราสามารถเลือกกินให้เหมาะกับสิ่งที่เราจะทำนะครับ ในปริมาณที่พอดีนะครับผม แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

% ไขมันบอกอะไรเรา

วันนี้มาพบกับเรื่องเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย หรือ  Bodyfat percentage นั้นแปลตรงตัวก็คือ อัตราส่วนร้อยละของร่างกายที่เป็นส่วนของไขมัน เราทราบกันดีว่าในร่างกายคนเราประกอบด้วย กล้ามเนื้อ อวัยวะ กระดูก น้ำ และ ไขมัน ซึ่ง เปอร์เซ็นต์ไขมันนี้แสดงถึงค่าร้อยละของปริมาณไขมันในร่างกาย ตัวอย่าง คนๆหนึ่งมีน้ำหนัก 50กก. มีไขมันในร่างกาย 20% นั่นแปลว่า ใน 50กก.นี้มีไขมันเป็นปริมาณ ร้อยละ20 หรือ 10กก. เป็นส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ไขมัน (กล้ามเนื้อ กระดูก น้ำ อื่นๆ) อีก 40กก.เป็นต้น

การวัดปริมาณไขมันในร่างกายทำได้หลายวิธี เช่น การใช้เครื่องวัดค่าต้านทานไฟฟ้า การชั่งน้ำหนักใต้น้ำ และ วิธีที่ง่ายและให้ผลที่แม่นยำในระดับสูงที่เป็นที่นิยมมากได้แก่ การใช้ตัวหนีบชั้นผิวหนัง หรือ Skinfold calipers โดยการวัดปริมาณไขมันวิธีนี้นั้น วัดจากความหนาของชั้นผิวหนังในแต่ละจุดของร่างกายที่กำหนด และ เค้าสู่สูตรคำนวนจะได้ออกมาเป็นปริมาณไขมันในร่างกาย อย่างไรก็ดี ไม่มีวิธีไหนที่จะสามารถวัดได้อย่างแม่นยำ 100% ทั้งนี้ค่าที่คลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยจากการวัดด้วย คาลิปเปอร์นั้นก็เพียงพอแล้วในขั้นต้น

เปอร์เซ็นต์ไขมันบอกอะไรเราได้บ้าง???
ค่าของเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายนั้นโดยตรงใช้เพื่อทราบค่าปริมาณไขมันในร่างกาย ว่า ณ.ตอนนั้นบุคคลนั้นๆมีค่าปริมาณไขมันมากเท่าไร เดิมทีเพื่อไว้ใช้วัดผลทางสุขภาพ Health/Fitness assessment แต่ต่อมา ข้อได้เปรียบของการทราบปริมาณไขมันในร่างกายนั้นสามารถกำหนดทิศทางการออกกำลังกาย และ แนวทางโภชนาการของผู้ฝึกได้เกือบทั้งหมดของโปรแกรมเลยทีเดียว

การนำค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันมาใช้ในการวางแผน และ จัดโปรแกรมการฝึก

1.ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นค่าชี้วัดที่ดีในการประเมินองค์ประกอบร่างกายต่างกับดัชนีมวลกาย Body Mass Index หรือ BMI ที่คำนวนจากเฉพาะค่าน้ำหนัก และ ส่วนสูงซึ่งในความเป็นจริงผู้ที่มี BMI ปกติ นั้นอาจมีปริมาณไขมันในร่างกายมากกว่าผู้ที่ BMI เกินก็ได้ เช่น ชายคนแรก นน.80กก. มีไขมัน 20% สูง 1.8ม. ค่า BMI คือ 24.6 ในขณะที่คนที่สอง นน.100กก. มีไขมันในร่างกายเพียง 8% สูง 1.8ม.เท่ากัน ซึ่งค่า BMI คือ 30.8 แต่ในความเป็นจริงแล้วชายคนที่สองนั้นมีไขมันในร่างกายน้อยมาก และมีกล้ามเนื้อมาก ดังนั้นน้ำหนักของกล้ามเนื้อนั้นทำให้ชายคนนี้ดูเหมือนน้ำหนักเกินเกณฑ์ ในกรณีคนที่ผอมมากๆ น้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐานก็ยังมีความเสี่ยงที่จะมีปริมาณไขมันที่มากได้ หรือที่เราได้ยินในชื่อของ Skinny Fat หรือ ตัวเล็กแต่อ้วนไขมันเยอะ เนื่องจากในกรณีบุคคลนี้มีปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกายน้อยมากทำให้นน.ตัวเบาและดูเหมือนต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ในความเป็นจริงร่างกายอาจสะสมไขมันไว้ได้มากเช่นกัน

2.ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นตัวกำหนดว่า ณ.ตอนนี้ผู้ฝึกควรเพิ่มน้ำหนัก หรือ ลดน้ำหนักจริงๆกันแน่ ผู้ฝึกที่ปริมาณไขมันเกิน 15% ณ.ตอนที่เริ่มโปรแกรมนั้น มีความสมควรในการที่จะพิจารณา “ลดไขมัน” ในขั้นต้นก่อนทำการเพิ่มกล้ามเนื้อ เนื่องจากหลักความเป็นจริงที่ว่า การสร้างกล้ามเนื้อนั้นต้องการปริมาณพลังงานที่มากกว่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นในกระบวนการเพิ่มกล้ามเนื้อนั้น ย่อมมีความเป็นไปได้มากที่ผู้ฝึกจะมีโอกาสเพิ่มปริมาณไขมันไปพร้อมๆกับการพยายามเพิ่มกล้ามเนื้อ หากผู้ฝึกเริ่มในจุดที่อยู่เกือบปลายทางของคำว่า อ้วนเกิน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงในการที่จะสะสมไขมันมากเกินพอดีในขณะที่เพิ่มกล้ามเนื้อไปแล้ว โดยปริมาณไขมันที่เหมาะสมในการเพิ่มปริมาณกล้ามเนื้ออยุ่ที่ไม่เกิน 12-15% และเมื่อสิ้นสุดการเพิ่มน้ำหนัก ผู้ฝึกไม่ควรปล่อยให้ปริมาณไขมันเลย 12 – 15%เช่นกัน

3.ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นตัวชี้วัดว่า โปรแกรมฝึก และ โปรแกรมอาหารที่เราใช้นั้น ถูก หรือ ผิดโดยอาศัยการวัดปริมาณไขมัน ทำให้เราทราบถึงการพัฒนาในโปรแกรมฝึกและโปรแกรมอาหารที่ใช้ กล่าวคือ เมื่อผู้ฝึก เริ่มฝึกโปรแกรมเพิ่มกล้ามเนื้อ โดยเริ่มจากนน.ตัว 80กก. ที่ไขมัน 10% ผ่านไประยะเวลา 8สัปดาห์ผู้ฝึกวัดผลอีกครั้งได้ นน.ตัวที่ 88กก. ที่ไขมัน 15% นั่นหมายความว่า ในระหว่างโปรแกรมฝึกนี้ผู้ฝึกเพิ่มน้ำหนักจากปริมาณไขมันมากกว่าปริมาณกล้ามเนื้อ ซึ่งขัดกับหลักการที่ควรจะเป็น ทำให้เราทราบได้ว่า ในโปรแกรมฝึก หรือ โปรแกรมอาหารของคนๆนี้นั้น “มีข้อผิดพลาด” เพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนโปรแกรมต่อไป ในกรณีลดน้ำหนักก็เช่นกัน หาผู้ฝึกที่ลดน้ำหนักนั้นพบว่า การที่น้ำหนักตัวลด แต่ปริมาณไขมันไม่ได้ลดลงมากเท่าที่ควร แปลว่า ร่างกายเริ่มสูญเสียกล้ามเนื้อ และ ส่วนอื่นๆ มากกว่าการพยายามลดไขมัน ทำให้ต้องพิจารณาโปรแกรมฝึก และ โภชนาการในขั้นตอนต่อๆไปเช่นกัน

4.ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นตัวชี้เป้าหมายของรูปร่างที่เราต้องการการทราบปริมาณไขมันเป้าหมายโดยคร่าวๆของรูปร่างเป้าหมายที่ต้องการ เช่น นายแบบมี6แพคสวยงามนั้น จะปรากฏในปริมาณไขมันที่ ต่ำกว่า 10%ลงมา ตรงจุดนี้ทำให้เราทราบคร่าวๆว่า เราอยู่ห่างจากเป้าหมายประมาณไหน และ ควรต้องใช้เวลาเท่าไรในการบรรลุรูปร่างเป้าหมายที่เราตั้งไว้อย่างคร่าวๆ

5.ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นตัวที่ใช้กำหนดทิศทาง ในการวางแผนลดน้ำหนักในส่วนของการลดไขมัน การทราบปริมาณไขมันนั้นมีความจำเป็นมากๆในการกำหนด ระยะเวลา ความเข้มข้น รวมถึงแนวทางในการจัดโปรแกรมการฝึกและโภชนาการ กล่าวคือ เมื่อเราทราบปริมาณไขมันก่อนที่จะทำการลด เช่น ชายคนหนึ่ง นน.ตัว 80กก. ไขมัน 15% ต้องการลดไขมันในร่างกายลงเหลือ 10% นั้นสามารถบอกผู้ฝึกได้ว่า ผู้ฝึกต้องลดไขมันลง 5% จากน้ำหนักตัว 80กก. นั่นหมายถึงผู้ฝึกต้องลดน้ำหนักไขมัน 4กก. (ซึ่งความเป็นจริงอาจต้องลดน้ำหนักมากกว่านี้เพื่อลดไขมันลง อัตราส่วนคร่าวๆอยู่ที่ 1.3 -1.4 ดังนั้นผู้ฝึกต้องลดน้ำหนักประมาณ 4 x 1.4 = 5.6กก.นั่นเอง) ซึ่งผู้ฝึกต้องใช้เวลาเฉลี่ย 5.6-11.2สัปดาห์ในการลดไขมันโดยคำนวนจากอัตราการลดที่พอดี ที่ 0.5 – 1กก./สัปดาห์ นั่นเอง

6.ค่าของความหน้าชั้นผิวหนัง Skinfold นั้นสามารถบอกถึงการพัฒนาในแต่ละส่วนหลักๆของร่างกายได้
นอกจากผลลัพท์ของปริมาณไขมันแล้ว การวัดความหนาชั้นผิวหนังโดยลำพังนั้น สามารถบอกอะไรเราได้มากมายเช่นกัน เช่น การวัดในจุดต่างๆของร่างกายทำให้ทราบว่าบุคคลนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะสะสมไขมันไว้ที่บริเวณไหนของร่างกาย ในกรณีที่ผู้ฝึกพบว่าภายหลังจากการเพิ่มนน.ไปสักระยะ พบว่าการวัดความหนาของชั้นผิวหนังบริเวณหลังนั้นเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับบริเวณอื่นๆของร่างกาย นั้นอาจเป็นข้อสันนิษฐานได้ว่า บุคคลนี้มีแนวโน้มในการเก็บไขมันที่หลัง อาจเนื่องมาจาก กล้ามเนื้อหลังด้อยพัฒนา หรือ โปรแกรมฝึกหลังนั้นไม่เข้มข้นพอ ก็เป็นได้ รวมทั้งการทดสอบวัดความหนาของชั้นผิวหนังของสองฝั่งร่างกาย เช่น แขนซ้าย และ แขนขวา ว่ามีการสะสมไขมันในปริมาณที่เท่ากันหรือไม่อย่างไรทำให้เราอาจทราบได้ถึงความไม่แข็งแรง หรือ ส่วนที่พัฒนาได้ช้ากว่าของร่างกายผู้ฝึก

credit:planforfit

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเรื่องราวเกี่ยวกับ % ไขมันบอกอะไรเรา หวังว่าจะประโยชน์กับทุกท่านนะครับ แล้วอย่าลืมติดตามกันนะครับ พบกันที่ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ข้อดีของ 5 อาหารยอดแย่ที่สาวๆ ชอบเมิน

  ข้อดีของ 5 อาหารยอดแย่ที่สาวๆ ชอบเมิน

เมื่อมีความเชื่อเกี่ยวกับอาหารบางประเภทที่ว่าไม่ดีกับสุขภาพ แต่ในมุมของข้อเสีย ก็แอบมีข้อดีที่มีประโยชน์เหมือนกันนะครับ ว่ามีอะไรกันบ้าง


         ไข่ไก่ การกินไข่ทุกวันไม่ดีเพราะมีคอเลส-เตอรอล และไข่แดงยิ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้ที่ดูแลสุขภาพ ความจริงแล้ว : ไขมันและไขมันอิ่มตัวเป็นสาเหตุใหญ่ในการเพิ่มคอเลสเตอรอลในเลือดมากกว่าคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ และไข่แดงยังมี Lutein และ Zeaxanthin ที่การวิจัยพบว่าสามารถลดความเสี่ยงภาวะจอประสาทตาเสื่อม (AMD) ในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นสาเหตุของการตาบอดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี

         เนื้อวัว เนื้อวัวอุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอ-รอล เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ

         เนื้อวัว เนื้อวัวอุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอ-รอล เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ความจริงแล้ว : เนื้อแดงของเนื้อวัวนั้นเป็นแหล่งของโปรตีนและธาตุเหล็ก แร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่สูญเสียธาตุเหล็กจากคลอดบุตร ลองเลือกเนื้อที่มีสีแดงเข้ม มีลายหินอ่อนเล็กน้อยก็จะเป็นเนื้อส่วนดีที่มีไขมันน้อย

        ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตขึ้นชื่อเรื่องน้ำตาลสูง ไขมันก็สูง และรสชาติหวานมันย่อมไม่ดีกับคุณแน่ๆ

        ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตขึ้นชื่อเรื่องน้ำตาลสูง ไขมันก็สูง และรสชาติหวานมันย่อมไม่ดีกับคุณแน่ๆ ความจริงแล้ว : ดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันเส้นเลือดตีบ และเมื่อเร็วๆ นี้นักวิจัยในสวิตเซอร์แลนด์รายงานว่าการกินดาร์กช็อกโกแลต 40 ออนซ์ ทุกวันเป็นเวลาสองสัปดาห์ ช่วยทำให้ฮอร์โมนความเครียดลดลง แต่ก็ไม่ได้หมายถึงกินมากแล้วจะเครียดน้อยลง ยังไงก็ควรกินแต่น้อยไม่งั้นจะพานเครียดกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นแทน

        มันฝรั่ง มันฝรั่งมีค่าดัชนีน้ำตาลค่อนข้างสูง จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วยังเข้าไปขัดขวางการทำงานของอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลด้วย

        มันฝรั่ง มันฝรั่งมีค่าดัชนีน้ำตาลค่อนข้างสูง จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วยังเข้าไปขัดขวางการทำงานของอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลด้วย ความจริงแล้ว : มันฝรั่งเป็นแหล่งของเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีชั้นดี ต่อให้กินมันฝรั่งทั้งผลก็ไม่มีผลต่อค่าดัชนีน้ำตาลมากนัก ถ้าคุณเพิ่มน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย เพราะไขมันจะช่วยชะลอการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรตในมันฝรั่ง

       ขนมปังขาว ขนมปังแป้งแผ่นที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรต

       ขนมปังขาว ขนมปังแป้งแผ่นที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ความจริงแล้ว : ขนมปังขัดขาวไม่ได้แย่เสมอไป แนวทางใหม่ในการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันแนะนำให้กินขนมปังขัดขาวอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของธัญพืชที่กิน สลับกับขนมปังโฮลวีต 100% หรือขนมปังธัญพืชไม่ขัดสีอื่นๆซึ่งเป็นวิธีในการกินขนมปังให้ดีต่อสุขภาพ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ ข้อดีของ 5 อาหารยอดแย่ที่สาวๆ ชอบเมิน ก็อาหารที่ว่าดีต่อสุขภาพ บางอย่างกินมากไปก็ไม่ดี
อาหารที่ว่าดีต่อสุขภาพ บางอย่างกินมากไปก็ไม่ดี แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คุณและโทษของกาแฟ


วันนี้มาพบกับคุณและโทษของกาแฟ เมื่อพูดถึงกาแฟ อาจไม่มีใครไม่รู้จัก เรามักเข้าใจว่า ดื่มกาแฟแล้วจะทำให้สมองสดใสขึ้น ไม่ง่วงนอน แต่ถ้าติดกาแฟและดื่มมากจะไม่ดี ความจริง กาแฟนอกจากมีสรรพคุณทำให้สมองสดใสขึ้นแล้ว ยังมีคุณประโยชน์อีกหลายอย่าง วันนี้ ก็มาพบเรื่องราวเกี่ยวกับคุณและโทษของกาแฟกันครับ

กาแฟมีคุณหลายอย่าง อาทิ

1. กาแฟมีคาเฟอิน ซึ่งสามารถกระตุ้นประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกสมองสดชื่น ตื่นเต้น และช่วยแก้ความอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น

2. กาแฟเป็นผลดีต่อผิวพรรณ เพราะว่ากาแฟสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้คล่อง ช่วยให้อวัยวะย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และเวลาอาบน้ำ ผสมผงกาแฟลงไปด้วย จะมีบทบาทช่วยลดไขมัน

3. กาแฟช่วยแก้เมา เพราะคาเฟอินจะไปเสริมสมรรถนะของตับและไต หลังดื่มเหล้าแล้ว จะช่วยละลายแอลกอฮอร์ให้เป็นน้ำและไคบอนไดออกไซต์ ขับออกจากร่างกาย

4. ดื่มกาแฟวันละ 3 ถ้วย จะป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีได้ เพราะว่าคาเฟอินสามารถกระตุ้นให้ถุงน้ำดีหดตัว ลดคอเลสเตอรอลในถุงน้ำดี ซึ่งเป็นสารที่จะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด สหรัฐฯ ปรากฎว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟ2-3 ถ้วยต่อวัน จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดีต่ำกว่าผู้ไม่ดื่มกาแฟ 40%

5. กาแฟมีผลป้องกันหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร ขจัดไขมัน ขจัดความชื้นออกจากร่างกาย

6. กาแฟสามารถขจัดกลิ่นปาก เมื่อรับประทานกระเทียมหรืออาหารที่มีกลิ่นแรง สามารถดื่มกาแฟสักถ้วยหนึ่งเพื่อช่วยขจัดกลิ่นปาก

7. กาแฟช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งตับ

8. เมื่อรับประทานอาหารประเภทเนื้อมากแล้ว ดื่มกาแฟจะทำให้กระเพาะอาหารมีน้ำย่อยออกมามากขึ้น ช่วยละลายไขมัน แต่สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร ไม่ดื่มกาแฟดีกว่า

9. กาแฟดำมีผลช่วยลดความอ้วนได้ หลังอาหารเที่ยงครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง และก่อนเลิกงานดื่มกาแฟดำข้นที่ไม่ใส่น้ำตาล และเดินเล่นอีกสักพัก จะได้ช่วยเผาผลาญไขมัน จนลดความอ้วน

10. กาแฟดำสามารถช่วยแก้อาการความดันโลหิตต่ำ

แม้ว่ากาแฟมีคุณประโยชน์หลายประการ แต่ถ้าดื่มกาแฟมากเกินไป จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น ปวดหัว นอนไม่หลับ มีอาการเหล่านี้เป็นเวลานานจะส่งผลกระทบต่อระบบประสาท จนทำให้เกิดผลแทรกซ้อน เช่นความจำเสื่อม ปฏิกิริยาช้าลง

ผู้เชี่ยวชาญสรุปว่า โทษของกาแฟมีดังนี้

1. ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ผลการวิจัยปรากฎว่า ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งแล้ว ความดันโลหิตจะสูงขึ้นนานถึง 12 ชั่วโมง ดังนั้น กลุ่มคนที่เป็นความดันโลหิตสูง ไม่ควรดื่มกาแฟขณะรู้สึกเครียด หรือมีแรงกดดันมากจากการทำงาน

2. กาแฟจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแร่ธาตุ คาเฟอินจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแร่ธาตุของลำไส้ เช่นแคลเซียม เหล็กและสังกะสี ดังนั้น เด็กไม่ควรดื่มกาแฟ

3. กาแฟจะทำให้ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลร้ายแรงขึ้น เนื่องจากกาแฟจะทำให้กระเพาะอาหารมีน้ำย่อยออกมามากขึ้น จนทำให้เป็นแผลมากขึ้น ดังนั้น ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารที่เป็นแผลในกระเพาะไม่ควรดื่มกาแฟมาก โดยเฉพาะในช่วงท้องว่าง

4. กาแฟจะทำให้กระดูกพรุน เนื่องจากคาเฟอินมีคุณประโยชน์ทำให้ขับปัสสาวะมากขึ้น ถ้าดื่มกาแฟเป็นเวลานาน จะทำให้สูญเสีแคลเซียมยไปกับปัสสาวะมาก จนกระดูกพรุน โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงหลังวัยทอง ไม่ควรดื่มกาแฟมากเกินควร

5. หญิงตั้งครรภ์ถ้าดื่มกาแฟมาก จะทำให้ทารกที่อยู่ในครรภ์เติบโตไม่เป็นปกติ หรืออาจแท้งได้

6. กาแฟจะทำลายวิตามิน B1 ซึ่งเป็นวิตามินที่รักษาความสมดุลและความมั่นคงของระบบประสาท ดังนั้น ผู้ที่ขาดวิตามิน B1 ไม่ควรดื่มกาแฟ

แล้วอย่าลืมกลับมาติดตามกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

"น้ำมะพร้าว" ตัวช่วยแก้อาการเมาค้าง



วันนี้มาพบกับเรื่องของตัวช่วยที่ช่วยลดอาการเมาค้างนั่นคือ น้ำมะพร้าว มาพบกันเลยครับว่าเป็นอย่างไร
1. น้ำมะพร้าวอ่อนมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิด แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี บี 2 บี 5 และบี 6 กรดโฟลิก และกรดอะมิโน

2. ช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์

3. ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสจากน้ำมะพร้าวไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ร่างกายสดชื่น ดังนั้นน้ำมะพร้าวจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ชอบดื่มน้ำอัดลมดับกระหาย

4. มีฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัยอันควร ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี

5. มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสีย และสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส

6. มีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง ช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ ดังนั้นหลังจากเสียเหงื่อ เสียน้ำ และเสียเกลือแร่แล้ว จึงควรเติมพลังด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวแทนการดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่

นอกจากนี้ "น้ำมะพร้าวสด" ช่วยแก้อาการเมาค้างจากการดื่มหนัก เพราะสามารถช่วยลดอาการขาดน้ำได้ แต่ควรซื้อน้ำมะพร้าวอ่อนแบบเป็นลูก เพื่อความปลอดภัย สะอาด และมีสารอาหารครบถ้วนตามที่ควรจะเป็น และเมื่อเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน เพราะจะลดทอนคุณค่าทางโภชนาการ

Credit:healthcarethai

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ กับทุกคนนะครับ แล้วกลับมาพบกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หากหยุดเล่นเวทแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?

วันนี้มาพบกับ หากหยุดเล่นเวทแล้วจะเกิดอะไรขึ้น หลายคนคงเคยสงสัยว่าเกี่ยวกับคำถามว่า ถ้าหยุดเล่นเวทแล้วจะเป็นอย่างไร? บางคนบอกว่าจะอ้วน บางคนบอกจะเนื้อย้วยเหี่ยว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และ ทฤษฏีอะไรที่สนับสนุนข้อความเหล่านี้บ้าง มาพบกันเลยครับ
หยุดเล่นแล้วทำไมถึงอ้วน? ก่อนจะวิเคราะห์ในจุดสุดท้ายเมื่อหยุดออกกำลังกาย เราต้องวิเคราะห์ถึงการออกกำลังกายเองก่อนว่าส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย เป็นที่ทราบกันดีว่า การออกกำลังกายนั้นที่แน่ๆต้องใช้พลังงาน และ การออกกำลังกายโดยการเวทเทรนนิ่งที่เหมาะสมนั้นสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญไปได้ตลอดวันอีกด้วย ณ.จุดนี้ที่เราสามารถบอกได้ชัดเจนคือ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายใช้พลังงานในแต่ละวันมากขึ้น สมมติตัวเลขจากพลังงานของคนทั่วไปที่ 2,000 calories การออกกำลังกายนั้นอาจทำให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้นถึง 2,500 – 3,000 calories ต่อวันเลยทีเดียว และเมื่อร่างกายต้องการพลังงานที่มากขึ้นนั้นเราก็จะต้องรับประทานอาหารที่มากขึ้นด้วย เป็นไปตามกลไกการทำงานของระบบร่างกายที่ส่งสัญญาณความหิว หรือ ความต้องการอาหารให้ร่างกายนั้นต้องหาอาหารเพื่อรับประทาน ดังนั้นในขณะเดียวกัน กอปรกับพื้นฐานในการออกกำลังกายด้วยเวทเทรนนิ่ง เราเรียนรู้ที่จะสร้างพฤติกรรมการทานอาหารหลายมื้อไปพร้อมๆกัน แม้จะเป็นกรณีที่ผู้ฝึกต้องการควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายนั้นมีหลักฐานในการที่ผู้ที่ออกกำลังกาย “สามารถทานอาหารได้มากกว่าเก่า” ก่อนที่จะทำให้ “อ้วน” หรือ “เพิ่มน้ำหนัก” ด้วยปัจจัยตรงนี้เมื่อถึงวันที่ผู้ที่ออกกำลังกาย หยุดกิจกรรมการออกกำลังกายไปในทันที หมายถึง ในแต่ละวันผู้ฝึกนั้นๆจะสูญเสียดุลในการเผาผลาญไป (ตัวเลขสมมติต่อจากข้างต้น) 500 – 1000calories ทันที แต่สิ่งที่มักจะพบได้เป็นปกติคือ “พฤติกรรมการรับประทานอาหาร” ที่ยังคงอยู่ในปริมาณมาก เพราะร่างกายเคยชินกับการรับพลังงานที่ระดับเดิม 2,500 – 3,000 calories โดยที่ระบบเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนได้ในรายวันเสมือนการ “หยุดออกกำลังกาย” สิ่งที่เกิดขึ้นอันดับแรกคือ ผู้ที่หยุดออกกำลังกายนี้มีพลังงานส่วนเกินเพิ่มมาตามตัวเลขสมมติที่ 500 – 1000calories ต่อวัน ส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผู้ฝึก เพิ่มน้ำหนักตัว และ ไขมัน หลังจากที่หยุดออกกำลังกายนั่นเอง
วิธีปฏิบัติหากจำเป็นต้องหยุดออกกำลังกายในกรณีที่เป็นผู้ที่มีรูปร่างอ้วนง่าย
- ลดปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวันลงให้เท่ากับก่อนออกกำลังกาย เช่น 3มื้อหลัก หรือ ประมาณ 2000 calories ต่อวัน เป็นเวลาล่วงหน้าอย่างน้อย 2-4สัปดาห์ก่อนที่คาดว่าจะหยุดออกกำลังกาย
- หลังจากนั้นค่อยๆลดการออกกำลังกายลง จนถึงจุดที่หยุดออกกำลังกายตามความจำเป็น
******ข้อสังเกตุร่างกายสะสมไขมันเพิ่มในขณะที่ร่างกายได้รับพลังงานเกินไม่ใช่การที่ “กล้ามเนื้อเปลี่ยนเป็นไขมัน” เมื่อหยุด******
หยุดเล่นแล้วผอม??? ในขณะที่ผู้ฝึกส่วนใหญ่ประสบปัญหาการเพิ่มน้ำหนักและไขมันเมื่อหยุดออกกำลังกาย ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจประสบกับปัญหาน้ำหนักลด ปริมาณกล้ามเนื้อลดลง เนื่องจากพื้นฐานของร่างกายและพฤติกรรมกลุ่มนี้คือ เป็นผู้ที่ระบบเผาผลาญสูง ร่างกายเพิ่มน้ำหนักยาก กินอาหารยาก ไม่มีความอยากอาหาร ซึ่งผู้ฝึกเหล่านี้สร้างกล้ามเนื้อโดยการฝึก และ การควบคุมโภชนการให้ร่างกายได้รับพลังงานที่ต้องการในปริมาณมากพอ โดยการ “พยายามกิน” เพื่อให้กล้ามขึ้น และเมื่อผู้ฝึกหยุดออกกำลังกาย กล้ามเนื้อที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นก็ลดปริมาณลงเนื่องจากไม่มีการกระตุ้น กอปรกับระบบเผาผลาญของร่างกายที่สูงโดยพื้นฐาน และ พฤติกรรมการไม่กินอาหารอย่างเพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามรถรักษากล้ามเนื้อนั้นๆได้ ร่างกายจึงกลับมาสู่รูปร่าง ผอมเหมือนเดิม ซึ่งในกรณีนี้มักไม่พบปัญหาสุขภาพเหมือนกับกรณีแรกที่ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้นนั่นเอง และเช่นกันผู้ฝึกที่ร่างกายเผาผลาญมากในตอนก่อนออกกำลังกาย ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดกรณีในข้างต้นคือ เป็นคนผอมมากออกกำลังกายแล้วหยุดฝึกกลายเป็นคนอ้วนง่าย เนื่องจากพฤติกรรมที่กล่าวมานั่นเองไม่ได้เกิดจากการที่ “กล้ามเนื้อเปลี่ยนเป็นไขมัน” แต่อย่างใด

ข้อสรุป จะเกิดอะไรเมื่อหยุดออกกำลังกาย
- ระบบเผาผลาญร่างกายลดลง
- ร่างกายต้องการพลังงานน้อยลง
- ร่างกายจะค่อยๆลดปริมาณกล้ามเนื้อลงจนถึงระดับที่สมดุล กล้ามเนื้อที่ขนาดใหญ่โตก็ลดขนาดลงโดยไม่มีปัญหาเรื่องความเหี่ยวย่นแต่อย่างไร เพราะกล้ามเนื้อและผิวหนังนั้นยืดหยุ่นตามธรรมชาติ
- ร่างกายจะค่อยๆกลับไปสู่ระบบพื้นฐานของร่างกายเดิมเช่น อ้วน หรือ ผอม

แปลว่าถ้าออกกำลังกายแล้วไม่สามารถ “หยุด” ได้ใช่หรือไม่ ?
มาถึงจุดนี้หลายคนคงจะเริ่มรู้สึกกังวลเกียวกับผลลัพธ์ในการออกกำลังกาย และ พันธะผูกพันที่เหมือนกับว่าต้องออกกำลังกายไปตลอดชีวิต หลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นยืนยันว่า การออกกำลังกายด้วยการเวท เทรนนิ่งนั้นส่งผลดีต่อผู้ฝึกทุกระดับ ไม่ว่าจะในวัยกลางคน หรือ เพศหญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งยังสามารถได้รับผลดีในการรักษามวลกระดูกจากการออกกำลังกายด้วย
- ณ.จุดหนึ่งของการออกกำลังกาย เราใช้ความพยายามสูงขึ้น และ สูงขึ้นเพื่อให้พัฒนาไปถึงเป้าหมาย
- เมื่อถึงเป้าหมาย หรือ รูปร่างทีต้องการแล้ว ลักษณะการฝึกก็จะเป็นเพียงการฝึกเพื่อ คงสภาพ หรือ ในอีกนัยสำคัญคือ ใช้ความพยายามเท่าๆเดิมก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องออกกำลังกายอย่างทุ่มเทจนสุดความสามารถตลอดชีวิต

Credit:planforfit

เป็นอย่างไรครับ ก็ใครที่เล่นเวทอยู่ก็ต้อง ออกกำลังกายนิดหน่อยนะครับ อย่าหยุดไปเลยเดียวมันจะคืนสภาพ นะครับ สู้ๆนะครับ แล้วกลับมาพบกับ  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เตือน!! อย่าถูตาไปมาตอนล้างหน้า !

 

         วันนี้มีสาระดีๆ มาฝาก ในเรื่องของตากับการล้างหน้า ผมจึงนำสาระดี ๆมาเตือนหนุ่ม ๆสาว ๆ ที่ลองรับชมกันครับว่า มันเป็นอย่างไร 

เวลาล้างหน้ามักเผลอไผลใช้มือถูบริเวณรอบดวงตาไปมา มาอ  คุณรู้หรือไม่ว่ากว่าน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวบริเวณรอบดวงตาจะกลับมาต้องใช้เวลาถึง 48 ชั่วโมงเลยทีเดียว  เพราะผิวบริเวณรอบดวงตานั้นบอบบางมากที่สุด  นอกจากนี้ยังมีต่อมเหงื่อและต่อมไขมันน้อยกว่าบริเวณอื่น ๆ  ดังนั้นเวลาล้างหน้าแนะนำให้ล้างบริเวณทีโซนเป็นหลัก  ส่วนบริเวณรอบดวงตาแค่ล้างเบา ๆก็พอ เพราะเราต้องให้ความสำคัญกับน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวซึ่งเป็นเซรั่มและครีมที่ดีที่สุด  เครื่องสำอางหรือเซรั่มใด ๆก็ไม่สามารถทดแทนได้  

 Credit: deedeejang

อย่างนี้และครับ เพราะงั้นเราไม่ควรถูตาไปมานะครับ เวลาล้างหน้าแล้วกลับมาพบกันกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ