แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ weight แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ weight แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เมื่อลดน้ำหนักได้ แต่ทำไมหุ่นไม่เป๊ะ

 
เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไมน้ำหนักเราก็ลงแล้วแต่ทำไมหุ่นเรายังไม่เฟิร์มเลยน้ำหนักก็ลดลงเยอะแล้ว ลองมาดูกันครับว่าทำไมกันหนอ ?
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการ “ลดน้ำหนัก” เป็นเวลาพอสมควร พบว่าน้ำหนักก็ลดลงตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่เหมือนว่าทำไม ถึงไม่มีวี่แววที่จะผอมหุ่นดีเลยสักที เท่าที่พบก็เพียงแต่น้ำหนักที่ลดลงพร้อมกับขนาดตัวที่ลดลง แต่ทำไมรายละเอียดกล้ามเนื้อ หรือ โค้งเว้าของร่างกายก็ไม่ปรากฏเสียที
มีความจริงเรื่องหนึ่งที่สวนทางกับความเชื่อต่างๆที่เคยได้รับรู้มาโดยสิ้นเชิง จริงๆแล้ว การลดน้ำหนักนั้น ไม่เท่ากับ ผอมลง เสมอไป
ความเป็นจริงสามารถตอบด้วยเรื่องของ ปริมาณไขมันในร่างกาย ซึ่งการที่จะมีความคมชัดหรือรูปร่างที่ชัด หรือ Lean นั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรที่เรียกว่า เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ซึ่งหมายถึงร้อยละของปริมาณไขมันที่มีในร่างกาย “ไม่ได้หมายถึงปริมาณว่ามากหรือน้อย” แต่เทียบเป็นร้อยละว่ามากหรือน้อย เช่น
A มีน้ำหนักตัว 100 กก. โดยที่มีไขมันในร่างกาย 20 กก. และส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ไขมันอีก 80กก.  ซึ่งเมื่อคำนวนแล้ว A มีปริมาณไขมันเป็น 20% ของร่างกาย
B มีน้ำหนักตัว 100 กก. โดยที่มีไขมันในร่างกาย 10 กก. และส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ไขมันอีก 90 กก.  และเมื่อคำนวนแล้ว B มีปริมาณไขมันในร่างกาย เพียง 10% ในร่างกาย
สรุปแล้ว A จะมีปริมาณไขมันเยอะกว่า B ถึง 10กก.  ดังนั้นแล้วแม้ว่าน้ำหนักจะเท่ากัน แต่อย่างไรแล้ว A ย่อมมีรูปร่างที่ดีกว่า B อย่างแน่นอ
จากภาพตัวอย่างนี้ทำให้เราเห็นภาพรวมของเรื่องร้อยละของปริมาณไขมันในร่างกายได้เป็นอย่างดี และต่อไปนี้คือเหตุผลว่าทำไมการที่เรา ลดน้ำหนักได้แล้วแต่ไม่มีวี่แววที่จะผอมลงสักที
 
ดังนั้นวิธีที่ถูกต้องคือ
1.การลดปริมาณไขมันโดยตรง โดยที่ไม่อิงน้ำหนักตัวมากจนเกินไป ทำได้โดยการวัดปริมาณในร่างกายด้วยวิธีง่ายๆ เช่น การใช้คาลิปเปอร์วัดความหนาของชั้นผิวหนังเป็นตัววัดผลว่า เราลดไขมันได้จริงหรือไม่เป็นต้น ถึงแม้น้ำหนักจะลดน้อยกว่า แต่ร่างกายดูดีขึ้นมากกว่าเพราะส่วนที่ลดไปคือไขมันล้วนๆนั่นเอง
2.เพิ่มกล้ามเนื้อ การเพิ่มกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการพัฒนารูปร่างและปรับปรุงรูปร่างให้ ผอมลงอย่างดูดี ไม่เหี่ยวย้วย อีกกรณีหนึ่งที่อาจพบได้ คือ การที่ A มีน้ำหนักตัว 100กก. มีไขมันที่ 20%  หรือ 20กก. โดย A ทำการเพิ่มกล้ามเนื้อในร่างกายอีก 5 กก. และลดไขมันอีก 10 กก. ทำให้น้ำหนักตัวของ A เป็น  85 กก. โดยที่มีไขมันในร่างกายเหลือเพียง 10 กก. เมื่อคิดเป็นร้อยละจะพบว่า  A นั้นมีไขมัน 11.7% และแน่นอน A นั้นดู “ผอมลง ลีนขึ้น” ต่างจากการลดแบบผิดวิธีคือการอดอาหารและเบิร์นอย่างเดียว ที่จะทำให้ %ไขมันเหลือเพียง 17.6%  และนี่คือเหตุผลว่าทำไม การลดน้ำหนัก จึงไม่เท่ากับผอมเสมอไป

Credit: planforfit

เป็นอย่างไรกันครับหวังว่าจะได้ประโยชน์ไปอย่างเต็มที่นะครับ ลดน้ำหนักต้องลดให้ถูกวิธีนะครับเพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์ทุกด้าน แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ


วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชา กาแฟ เราควรดื่มตอนไหนดีนะ ?



วันนี้ผมก็กลับมาอีกครั้งกับเรื่องของชาและกาแฟ ด้วย ชา กาแฟ ด้วยคุณสมบัติต่างกัน วันนี้เราจึงนำความแตกต่างในการเลือกรับประทานมาฝากเพื่อนๆกันดูครับ ให้เพื่อนๆไปปรับใช้กันดูนะครับไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง


เมื่อคุณมีอาการหนาว สิ่งที่ควรดื่มคือ กาแฟ

หลังจากเพียงแค่ 10 นาทีที่ได้รับคาเฟอีนในกาแฟเข้าไปในร่างกาย คาเฟอีนจะทำให้มีการเต้นของหัวใจและความดันเลือดที่ดีขึ้น และสิ่งที่ผสมลงไปในกาแฟ เช่น พวกนม น้ำตาล ยังกลายเป็นพลังงานซึ่งทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นอีกด้วย

หากต้องการลดน้ำหนัก สิ่งที่คุณควรดื่มคือ ชา

เป็นข่าวดีครับ เพราะคาเฟอีนนั้น ช่วยทำให้คุณมีความอยากอาหารน้อยลง แต่การที่คุณดื่มกาแฟ นั้นไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักหรอกครับ เพราะมีทั้งนม ทั้งน้ำตาล การดื่มชา คือทางเลือกที่ดีที่สุดครับ เพราะนอกจากจะมีคาเฟอีนที่ทำให้ อยากอาหารน้อยลงแล้ว ในชา โดยเฉพาะชาเขียว มีสารที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้อีกด้วยครับ


หากคุณอยู่ในช่วงเพิ่มกล้ามเนื้อ สิ่งที่คุณควรดื่มคือ กาแฟ

ตามที่บอกไปด้านบนครับว่าชา มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมัน ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดควรเป็นกาแฟแล้วครับ และหากคุณดื่มกาแฟก่อนเข้าฟิตเนสประมาณ 1 ชม คาแฟอีนจะช่วยทำให้คุณออกกำลังกายได้นานขึ้น


หากคุณต้องการให้อารมณ์ดีขึ้น สิ่งที่คุณควรดื่มคือ ชา

หากต้องการความผ่อนคลายแล้วละก็เลือกดื่มชาจะดีที่สุดครับ เพราะกลิ่นของชาจะช่วยทำให้คุณใจเย็น และผ่อนคลาย ชาที่คุณเลือกดื่ม ก็เป็นเช่นพวก ชามะลิ หรือ ชาลาเวนเดอร์ หรือไม่ก็ชาเขียวเองก็ตาม ก่อนดืม ให้สูดกลิ่นที่ของชาร้อนๆก่อน แล้วค่อยๆจิบ แค่นี้ก็ช่วยสร้างรอยยิ้มในยามบ่ายได้ดีเลยละครับ


Credit: Sanook.com

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเรื่องราวของชาและกาแฟ เราสามารถเลือกกินให้เหมาะกับสิ่งที่เราจะทำนะครับ ในปริมาณที่พอดีนะครับผม แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หากหยุดเล่นเวทแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?

วันนี้มาพบกับ หากหยุดเล่นเวทแล้วจะเกิดอะไรขึ้น หลายคนคงเคยสงสัยว่าเกี่ยวกับคำถามว่า ถ้าหยุดเล่นเวทแล้วจะเป็นอย่างไร? บางคนบอกว่าจะอ้วน บางคนบอกจะเนื้อย้วยเหี่ยว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และ ทฤษฏีอะไรที่สนับสนุนข้อความเหล่านี้บ้าง มาพบกันเลยครับ
หยุดเล่นแล้วทำไมถึงอ้วน? ก่อนจะวิเคราะห์ในจุดสุดท้ายเมื่อหยุดออกกำลังกาย เราต้องวิเคราะห์ถึงการออกกำลังกายเองก่อนว่าส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย เป็นที่ทราบกันดีว่า การออกกำลังกายนั้นที่แน่ๆต้องใช้พลังงาน และ การออกกำลังกายโดยการเวทเทรนนิ่งที่เหมาะสมนั้นสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญไปได้ตลอดวันอีกด้วย ณ.จุดนี้ที่เราสามารถบอกได้ชัดเจนคือ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายใช้พลังงานในแต่ละวันมากขึ้น สมมติตัวเลขจากพลังงานของคนทั่วไปที่ 2,000 calories การออกกำลังกายนั้นอาจทำให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้นถึง 2,500 – 3,000 calories ต่อวันเลยทีเดียว และเมื่อร่างกายต้องการพลังงานที่มากขึ้นนั้นเราก็จะต้องรับประทานอาหารที่มากขึ้นด้วย เป็นไปตามกลไกการทำงานของระบบร่างกายที่ส่งสัญญาณความหิว หรือ ความต้องการอาหารให้ร่างกายนั้นต้องหาอาหารเพื่อรับประทาน ดังนั้นในขณะเดียวกัน กอปรกับพื้นฐานในการออกกำลังกายด้วยเวทเทรนนิ่ง เราเรียนรู้ที่จะสร้างพฤติกรรมการทานอาหารหลายมื้อไปพร้อมๆกัน แม้จะเป็นกรณีที่ผู้ฝึกต้องการควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายนั้นมีหลักฐานในการที่ผู้ที่ออกกำลังกาย “สามารถทานอาหารได้มากกว่าเก่า” ก่อนที่จะทำให้ “อ้วน” หรือ “เพิ่มน้ำหนัก” ด้วยปัจจัยตรงนี้เมื่อถึงวันที่ผู้ที่ออกกำลังกาย หยุดกิจกรรมการออกกำลังกายไปในทันที หมายถึง ในแต่ละวันผู้ฝึกนั้นๆจะสูญเสียดุลในการเผาผลาญไป (ตัวเลขสมมติต่อจากข้างต้น) 500 – 1000calories ทันที แต่สิ่งที่มักจะพบได้เป็นปกติคือ “พฤติกรรมการรับประทานอาหาร” ที่ยังคงอยู่ในปริมาณมาก เพราะร่างกายเคยชินกับการรับพลังงานที่ระดับเดิม 2,500 – 3,000 calories โดยที่ระบบเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนได้ในรายวันเสมือนการ “หยุดออกกำลังกาย” สิ่งที่เกิดขึ้นอันดับแรกคือ ผู้ที่หยุดออกกำลังกายนี้มีพลังงานส่วนเกินเพิ่มมาตามตัวเลขสมมติที่ 500 – 1000calories ต่อวัน ส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผู้ฝึก เพิ่มน้ำหนักตัว และ ไขมัน หลังจากที่หยุดออกกำลังกายนั่นเอง
วิธีปฏิบัติหากจำเป็นต้องหยุดออกกำลังกายในกรณีที่เป็นผู้ที่มีรูปร่างอ้วนง่าย
- ลดปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวันลงให้เท่ากับก่อนออกกำลังกาย เช่น 3มื้อหลัก หรือ ประมาณ 2000 calories ต่อวัน เป็นเวลาล่วงหน้าอย่างน้อย 2-4สัปดาห์ก่อนที่คาดว่าจะหยุดออกกำลังกาย
- หลังจากนั้นค่อยๆลดการออกกำลังกายลง จนถึงจุดที่หยุดออกกำลังกายตามความจำเป็น
******ข้อสังเกตุร่างกายสะสมไขมันเพิ่มในขณะที่ร่างกายได้รับพลังงานเกินไม่ใช่การที่ “กล้ามเนื้อเปลี่ยนเป็นไขมัน” เมื่อหยุด******
หยุดเล่นแล้วผอม??? ในขณะที่ผู้ฝึกส่วนใหญ่ประสบปัญหาการเพิ่มน้ำหนักและไขมันเมื่อหยุดออกกำลังกาย ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจประสบกับปัญหาน้ำหนักลด ปริมาณกล้ามเนื้อลดลง เนื่องจากพื้นฐานของร่างกายและพฤติกรรมกลุ่มนี้คือ เป็นผู้ที่ระบบเผาผลาญสูง ร่างกายเพิ่มน้ำหนักยาก กินอาหารยาก ไม่มีความอยากอาหาร ซึ่งผู้ฝึกเหล่านี้สร้างกล้ามเนื้อโดยการฝึก และ การควบคุมโภชนการให้ร่างกายได้รับพลังงานที่ต้องการในปริมาณมากพอ โดยการ “พยายามกิน” เพื่อให้กล้ามขึ้น และเมื่อผู้ฝึกหยุดออกกำลังกาย กล้ามเนื้อที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นก็ลดปริมาณลงเนื่องจากไม่มีการกระตุ้น กอปรกับระบบเผาผลาญของร่างกายที่สูงโดยพื้นฐาน และ พฤติกรรมการไม่กินอาหารอย่างเพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามรถรักษากล้ามเนื้อนั้นๆได้ ร่างกายจึงกลับมาสู่รูปร่าง ผอมเหมือนเดิม ซึ่งในกรณีนี้มักไม่พบปัญหาสุขภาพเหมือนกับกรณีแรกที่ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้นนั่นเอง และเช่นกันผู้ฝึกที่ร่างกายเผาผลาญมากในตอนก่อนออกกำลังกาย ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดกรณีในข้างต้นคือ เป็นคนผอมมากออกกำลังกายแล้วหยุดฝึกกลายเป็นคนอ้วนง่าย เนื่องจากพฤติกรรมที่กล่าวมานั่นเองไม่ได้เกิดจากการที่ “กล้ามเนื้อเปลี่ยนเป็นไขมัน” แต่อย่างใด

ข้อสรุป จะเกิดอะไรเมื่อหยุดออกกำลังกาย
- ระบบเผาผลาญร่างกายลดลง
- ร่างกายต้องการพลังงานน้อยลง
- ร่างกายจะค่อยๆลดปริมาณกล้ามเนื้อลงจนถึงระดับที่สมดุล กล้ามเนื้อที่ขนาดใหญ่โตก็ลดขนาดลงโดยไม่มีปัญหาเรื่องความเหี่ยวย่นแต่อย่างไร เพราะกล้ามเนื้อและผิวหนังนั้นยืดหยุ่นตามธรรมชาติ
- ร่างกายจะค่อยๆกลับไปสู่ระบบพื้นฐานของร่างกายเดิมเช่น อ้วน หรือ ผอม

แปลว่าถ้าออกกำลังกายแล้วไม่สามารถ “หยุด” ได้ใช่หรือไม่ ?
มาถึงจุดนี้หลายคนคงจะเริ่มรู้สึกกังวลเกียวกับผลลัพธ์ในการออกกำลังกาย และ พันธะผูกพันที่เหมือนกับว่าต้องออกกำลังกายไปตลอดชีวิต หลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นยืนยันว่า การออกกำลังกายด้วยการเวท เทรนนิ่งนั้นส่งผลดีต่อผู้ฝึกทุกระดับ ไม่ว่าจะในวัยกลางคน หรือ เพศหญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งยังสามารถได้รับผลดีในการรักษามวลกระดูกจากการออกกำลังกายด้วย
- ณ.จุดหนึ่งของการออกกำลังกาย เราใช้ความพยายามสูงขึ้น และ สูงขึ้นเพื่อให้พัฒนาไปถึงเป้าหมาย
- เมื่อถึงเป้าหมาย หรือ รูปร่างทีต้องการแล้ว ลักษณะการฝึกก็จะเป็นเพียงการฝึกเพื่อ คงสภาพ หรือ ในอีกนัยสำคัญคือ ใช้ความพยายามเท่าๆเดิมก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องออกกำลังกายอย่างทุ่มเทจนสุดความสามารถตลอดชีวิต

Credit:planforfit

เป็นอย่างไรครับ ก็ใครที่เล่นเวทอยู่ก็ต้อง ออกกำลังกายนิดหน่อยนะครับ อย่าหยุดไปเลยเดียวมันจะคืนสภาพ นะครับ สู้ๆนะครับ แล้วกลับมาพบกับ  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ