วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชา กาแฟ เราควรดื่มตอนไหนดีนะ ?



วันนี้ผมก็กลับมาอีกครั้งกับเรื่องของชาและกาแฟ ด้วย ชา กาแฟ ด้วยคุณสมบัติต่างกัน วันนี้เราจึงนำความแตกต่างในการเลือกรับประทานมาฝากเพื่อนๆกันดูครับ ให้เพื่อนๆไปปรับใช้กันดูนะครับไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง


เมื่อคุณมีอาการหนาว สิ่งที่ควรดื่มคือ กาแฟ

หลังจากเพียงแค่ 10 นาทีที่ได้รับคาเฟอีนในกาแฟเข้าไปในร่างกาย คาเฟอีนจะทำให้มีการเต้นของหัวใจและความดันเลือดที่ดีขึ้น และสิ่งที่ผสมลงไปในกาแฟ เช่น พวกนม น้ำตาล ยังกลายเป็นพลังงานซึ่งทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นอีกด้วย

หากต้องการลดน้ำหนัก สิ่งที่คุณควรดื่มคือ ชา

เป็นข่าวดีครับ เพราะคาเฟอีนนั้น ช่วยทำให้คุณมีความอยากอาหารน้อยลง แต่การที่คุณดื่มกาแฟ นั้นไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักหรอกครับ เพราะมีทั้งนม ทั้งน้ำตาล การดื่มชา คือทางเลือกที่ดีที่สุดครับ เพราะนอกจากจะมีคาเฟอีนที่ทำให้ อยากอาหารน้อยลงแล้ว ในชา โดยเฉพาะชาเขียว มีสารที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้อีกด้วยครับ


หากคุณอยู่ในช่วงเพิ่มกล้ามเนื้อ สิ่งที่คุณควรดื่มคือ กาแฟ

ตามที่บอกไปด้านบนครับว่าชา มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมัน ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดควรเป็นกาแฟแล้วครับ และหากคุณดื่มกาแฟก่อนเข้าฟิตเนสประมาณ 1 ชม คาแฟอีนจะช่วยทำให้คุณออกกำลังกายได้นานขึ้น


หากคุณต้องการให้อารมณ์ดีขึ้น สิ่งที่คุณควรดื่มคือ ชา

หากต้องการความผ่อนคลายแล้วละก็เลือกดื่มชาจะดีที่สุดครับ เพราะกลิ่นของชาจะช่วยทำให้คุณใจเย็น และผ่อนคลาย ชาที่คุณเลือกดื่ม ก็เป็นเช่นพวก ชามะลิ หรือ ชาลาเวนเดอร์ หรือไม่ก็ชาเขียวเองก็ตาม ก่อนดืม ให้สูดกลิ่นที่ของชาร้อนๆก่อน แล้วค่อยๆจิบ แค่นี้ก็ช่วยสร้างรอยยิ้มในยามบ่ายได้ดีเลยละครับ


Credit: Sanook.com

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเรื่องราวของชาและกาแฟ เราสามารถเลือกกินให้เหมาะกับสิ่งที่เราจะทำนะครับ ในปริมาณที่พอดีนะครับผม แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

% ไขมันบอกอะไรเรา

วันนี้มาพบกับเรื่องเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย หรือ  Bodyfat percentage นั้นแปลตรงตัวก็คือ อัตราส่วนร้อยละของร่างกายที่เป็นส่วนของไขมัน เราทราบกันดีว่าในร่างกายคนเราประกอบด้วย กล้ามเนื้อ อวัยวะ กระดูก น้ำ และ ไขมัน ซึ่ง เปอร์เซ็นต์ไขมันนี้แสดงถึงค่าร้อยละของปริมาณไขมันในร่างกาย ตัวอย่าง คนๆหนึ่งมีน้ำหนัก 50กก. มีไขมันในร่างกาย 20% นั่นแปลว่า ใน 50กก.นี้มีไขมันเป็นปริมาณ ร้อยละ20 หรือ 10กก. เป็นส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ไขมัน (กล้ามเนื้อ กระดูก น้ำ อื่นๆ) อีก 40กก.เป็นต้น

การวัดปริมาณไขมันในร่างกายทำได้หลายวิธี เช่น การใช้เครื่องวัดค่าต้านทานไฟฟ้า การชั่งน้ำหนักใต้น้ำ และ วิธีที่ง่ายและให้ผลที่แม่นยำในระดับสูงที่เป็นที่นิยมมากได้แก่ การใช้ตัวหนีบชั้นผิวหนัง หรือ Skinfold calipers โดยการวัดปริมาณไขมันวิธีนี้นั้น วัดจากความหนาของชั้นผิวหนังในแต่ละจุดของร่างกายที่กำหนด และ เค้าสู่สูตรคำนวนจะได้ออกมาเป็นปริมาณไขมันในร่างกาย อย่างไรก็ดี ไม่มีวิธีไหนที่จะสามารถวัดได้อย่างแม่นยำ 100% ทั้งนี้ค่าที่คลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยจากการวัดด้วย คาลิปเปอร์นั้นก็เพียงพอแล้วในขั้นต้น

เปอร์เซ็นต์ไขมันบอกอะไรเราได้บ้าง???
ค่าของเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายนั้นโดยตรงใช้เพื่อทราบค่าปริมาณไขมันในร่างกาย ว่า ณ.ตอนนั้นบุคคลนั้นๆมีค่าปริมาณไขมันมากเท่าไร เดิมทีเพื่อไว้ใช้วัดผลทางสุขภาพ Health/Fitness assessment แต่ต่อมา ข้อได้เปรียบของการทราบปริมาณไขมันในร่างกายนั้นสามารถกำหนดทิศทางการออกกำลังกาย และ แนวทางโภชนาการของผู้ฝึกได้เกือบทั้งหมดของโปรแกรมเลยทีเดียว

การนำค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันมาใช้ในการวางแผน และ จัดโปรแกรมการฝึก

1.ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นค่าชี้วัดที่ดีในการประเมินองค์ประกอบร่างกายต่างกับดัชนีมวลกาย Body Mass Index หรือ BMI ที่คำนวนจากเฉพาะค่าน้ำหนัก และ ส่วนสูงซึ่งในความเป็นจริงผู้ที่มี BMI ปกติ นั้นอาจมีปริมาณไขมันในร่างกายมากกว่าผู้ที่ BMI เกินก็ได้ เช่น ชายคนแรก นน.80กก. มีไขมัน 20% สูง 1.8ม. ค่า BMI คือ 24.6 ในขณะที่คนที่สอง นน.100กก. มีไขมันในร่างกายเพียง 8% สูง 1.8ม.เท่ากัน ซึ่งค่า BMI คือ 30.8 แต่ในความเป็นจริงแล้วชายคนที่สองนั้นมีไขมันในร่างกายน้อยมาก และมีกล้ามเนื้อมาก ดังนั้นน้ำหนักของกล้ามเนื้อนั้นทำให้ชายคนนี้ดูเหมือนน้ำหนักเกินเกณฑ์ ในกรณีคนที่ผอมมากๆ น้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐานก็ยังมีความเสี่ยงที่จะมีปริมาณไขมันที่มากได้ หรือที่เราได้ยินในชื่อของ Skinny Fat หรือ ตัวเล็กแต่อ้วนไขมันเยอะ เนื่องจากในกรณีบุคคลนี้มีปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกายน้อยมากทำให้นน.ตัวเบาและดูเหมือนต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ในความเป็นจริงร่างกายอาจสะสมไขมันไว้ได้มากเช่นกัน

2.ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นตัวกำหนดว่า ณ.ตอนนี้ผู้ฝึกควรเพิ่มน้ำหนัก หรือ ลดน้ำหนักจริงๆกันแน่ ผู้ฝึกที่ปริมาณไขมันเกิน 15% ณ.ตอนที่เริ่มโปรแกรมนั้น มีความสมควรในการที่จะพิจารณา “ลดไขมัน” ในขั้นต้นก่อนทำการเพิ่มกล้ามเนื้อ เนื่องจากหลักความเป็นจริงที่ว่า การสร้างกล้ามเนื้อนั้นต้องการปริมาณพลังงานที่มากกว่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นในกระบวนการเพิ่มกล้ามเนื้อนั้น ย่อมมีความเป็นไปได้มากที่ผู้ฝึกจะมีโอกาสเพิ่มปริมาณไขมันไปพร้อมๆกับการพยายามเพิ่มกล้ามเนื้อ หากผู้ฝึกเริ่มในจุดที่อยู่เกือบปลายทางของคำว่า อ้วนเกิน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงในการที่จะสะสมไขมันมากเกินพอดีในขณะที่เพิ่มกล้ามเนื้อไปแล้ว โดยปริมาณไขมันที่เหมาะสมในการเพิ่มปริมาณกล้ามเนื้ออยุ่ที่ไม่เกิน 12-15% และเมื่อสิ้นสุดการเพิ่มน้ำหนัก ผู้ฝึกไม่ควรปล่อยให้ปริมาณไขมันเลย 12 – 15%เช่นกัน

3.ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นตัวชี้วัดว่า โปรแกรมฝึก และ โปรแกรมอาหารที่เราใช้นั้น ถูก หรือ ผิดโดยอาศัยการวัดปริมาณไขมัน ทำให้เราทราบถึงการพัฒนาในโปรแกรมฝึกและโปรแกรมอาหารที่ใช้ กล่าวคือ เมื่อผู้ฝึก เริ่มฝึกโปรแกรมเพิ่มกล้ามเนื้อ โดยเริ่มจากนน.ตัว 80กก. ที่ไขมัน 10% ผ่านไประยะเวลา 8สัปดาห์ผู้ฝึกวัดผลอีกครั้งได้ นน.ตัวที่ 88กก. ที่ไขมัน 15% นั่นหมายความว่า ในระหว่างโปรแกรมฝึกนี้ผู้ฝึกเพิ่มน้ำหนักจากปริมาณไขมันมากกว่าปริมาณกล้ามเนื้อ ซึ่งขัดกับหลักการที่ควรจะเป็น ทำให้เราทราบได้ว่า ในโปรแกรมฝึก หรือ โปรแกรมอาหารของคนๆนี้นั้น “มีข้อผิดพลาด” เพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนโปรแกรมต่อไป ในกรณีลดน้ำหนักก็เช่นกัน หาผู้ฝึกที่ลดน้ำหนักนั้นพบว่า การที่น้ำหนักตัวลด แต่ปริมาณไขมันไม่ได้ลดลงมากเท่าที่ควร แปลว่า ร่างกายเริ่มสูญเสียกล้ามเนื้อ และ ส่วนอื่นๆ มากกว่าการพยายามลดไขมัน ทำให้ต้องพิจารณาโปรแกรมฝึก และ โภชนาการในขั้นตอนต่อๆไปเช่นกัน

4.ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นตัวชี้เป้าหมายของรูปร่างที่เราต้องการการทราบปริมาณไขมันเป้าหมายโดยคร่าวๆของรูปร่างเป้าหมายที่ต้องการ เช่น นายแบบมี6แพคสวยงามนั้น จะปรากฏในปริมาณไขมันที่ ต่ำกว่า 10%ลงมา ตรงจุดนี้ทำให้เราทราบคร่าวๆว่า เราอยู่ห่างจากเป้าหมายประมาณไหน และ ควรต้องใช้เวลาเท่าไรในการบรรลุรูปร่างเป้าหมายที่เราตั้งไว้อย่างคร่าวๆ

5.ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันนั้นเป็นตัวที่ใช้กำหนดทิศทาง ในการวางแผนลดน้ำหนักในส่วนของการลดไขมัน การทราบปริมาณไขมันนั้นมีความจำเป็นมากๆในการกำหนด ระยะเวลา ความเข้มข้น รวมถึงแนวทางในการจัดโปรแกรมการฝึกและโภชนาการ กล่าวคือ เมื่อเราทราบปริมาณไขมันก่อนที่จะทำการลด เช่น ชายคนหนึ่ง นน.ตัว 80กก. ไขมัน 15% ต้องการลดไขมันในร่างกายลงเหลือ 10% นั้นสามารถบอกผู้ฝึกได้ว่า ผู้ฝึกต้องลดไขมันลง 5% จากน้ำหนักตัว 80กก. นั่นหมายถึงผู้ฝึกต้องลดน้ำหนักไขมัน 4กก. (ซึ่งความเป็นจริงอาจต้องลดน้ำหนักมากกว่านี้เพื่อลดไขมันลง อัตราส่วนคร่าวๆอยู่ที่ 1.3 -1.4 ดังนั้นผู้ฝึกต้องลดน้ำหนักประมาณ 4 x 1.4 = 5.6กก.นั่นเอง) ซึ่งผู้ฝึกต้องใช้เวลาเฉลี่ย 5.6-11.2สัปดาห์ในการลดไขมันโดยคำนวนจากอัตราการลดที่พอดี ที่ 0.5 – 1กก./สัปดาห์ นั่นเอง

6.ค่าของความหน้าชั้นผิวหนัง Skinfold นั้นสามารถบอกถึงการพัฒนาในแต่ละส่วนหลักๆของร่างกายได้
นอกจากผลลัพท์ของปริมาณไขมันแล้ว การวัดความหนาชั้นผิวหนังโดยลำพังนั้น สามารถบอกอะไรเราได้มากมายเช่นกัน เช่น การวัดในจุดต่างๆของร่างกายทำให้ทราบว่าบุคคลนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะสะสมไขมันไว้ที่บริเวณไหนของร่างกาย ในกรณีที่ผู้ฝึกพบว่าภายหลังจากการเพิ่มนน.ไปสักระยะ พบว่าการวัดความหนาของชั้นผิวหนังบริเวณหลังนั้นเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับบริเวณอื่นๆของร่างกาย นั้นอาจเป็นข้อสันนิษฐานได้ว่า บุคคลนี้มีแนวโน้มในการเก็บไขมันที่หลัง อาจเนื่องมาจาก กล้ามเนื้อหลังด้อยพัฒนา หรือ โปรแกรมฝึกหลังนั้นไม่เข้มข้นพอ ก็เป็นได้ รวมทั้งการทดสอบวัดความหนาของชั้นผิวหนังของสองฝั่งร่างกาย เช่น แขนซ้าย และ แขนขวา ว่ามีการสะสมไขมันในปริมาณที่เท่ากันหรือไม่อย่างไรทำให้เราอาจทราบได้ถึงความไม่แข็งแรง หรือ ส่วนที่พัฒนาได้ช้ากว่าของร่างกายผู้ฝึก

credit:planforfit

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเรื่องราวเกี่ยวกับ % ไขมันบอกอะไรเรา หวังว่าจะประโยชน์กับทุกท่านนะครับ แล้วอย่าลืมติดตามกันนะครับ พบกันที่ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ข้อดีของ 5 อาหารยอดแย่ที่สาวๆ ชอบเมิน

  ข้อดีของ 5 อาหารยอดแย่ที่สาวๆ ชอบเมิน

เมื่อมีความเชื่อเกี่ยวกับอาหารบางประเภทที่ว่าไม่ดีกับสุขภาพ แต่ในมุมของข้อเสีย ก็แอบมีข้อดีที่มีประโยชน์เหมือนกันนะครับ ว่ามีอะไรกันบ้าง


         ไข่ไก่ การกินไข่ทุกวันไม่ดีเพราะมีคอเลส-เตอรอล และไข่แดงยิ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้ที่ดูแลสุขภาพ ความจริงแล้ว : ไขมันและไขมันอิ่มตัวเป็นสาเหตุใหญ่ในการเพิ่มคอเลสเตอรอลในเลือดมากกว่าคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ และไข่แดงยังมี Lutein และ Zeaxanthin ที่การวิจัยพบว่าสามารถลดความเสี่ยงภาวะจอประสาทตาเสื่อม (AMD) ในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นสาเหตุของการตาบอดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี

         เนื้อวัว เนื้อวัวอุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอ-รอล เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ

         เนื้อวัว เนื้อวัวอุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอ-รอล เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ความจริงแล้ว : เนื้อแดงของเนื้อวัวนั้นเป็นแหล่งของโปรตีนและธาตุเหล็ก แร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่สูญเสียธาตุเหล็กจากคลอดบุตร ลองเลือกเนื้อที่มีสีแดงเข้ม มีลายหินอ่อนเล็กน้อยก็จะเป็นเนื้อส่วนดีที่มีไขมันน้อย

        ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตขึ้นชื่อเรื่องน้ำตาลสูง ไขมันก็สูง และรสชาติหวานมันย่อมไม่ดีกับคุณแน่ๆ

        ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตขึ้นชื่อเรื่องน้ำตาลสูง ไขมันก็สูง และรสชาติหวานมันย่อมไม่ดีกับคุณแน่ๆ ความจริงแล้ว : ดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันเส้นเลือดตีบ และเมื่อเร็วๆ นี้นักวิจัยในสวิตเซอร์แลนด์รายงานว่าการกินดาร์กช็อกโกแลต 40 ออนซ์ ทุกวันเป็นเวลาสองสัปดาห์ ช่วยทำให้ฮอร์โมนความเครียดลดลง แต่ก็ไม่ได้หมายถึงกินมากแล้วจะเครียดน้อยลง ยังไงก็ควรกินแต่น้อยไม่งั้นจะพานเครียดกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นแทน

        มันฝรั่ง มันฝรั่งมีค่าดัชนีน้ำตาลค่อนข้างสูง จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วยังเข้าไปขัดขวางการทำงานของอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลด้วย

        มันฝรั่ง มันฝรั่งมีค่าดัชนีน้ำตาลค่อนข้างสูง จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วยังเข้าไปขัดขวางการทำงานของอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลด้วย ความจริงแล้ว : มันฝรั่งเป็นแหล่งของเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีชั้นดี ต่อให้กินมันฝรั่งทั้งผลก็ไม่มีผลต่อค่าดัชนีน้ำตาลมากนัก ถ้าคุณเพิ่มน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย เพราะไขมันจะช่วยชะลอการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรตในมันฝรั่ง

       ขนมปังขาว ขนมปังแป้งแผ่นที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรต

       ขนมปังขาว ขนมปังแป้งแผ่นที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ความจริงแล้ว : ขนมปังขัดขาวไม่ได้แย่เสมอไป แนวทางใหม่ในการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันแนะนำให้กินขนมปังขัดขาวอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของธัญพืชที่กิน สลับกับขนมปังโฮลวีต 100% หรือขนมปังธัญพืชไม่ขัดสีอื่นๆซึ่งเป็นวิธีในการกินขนมปังให้ดีต่อสุขภาพ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ ข้อดีของ 5 อาหารยอดแย่ที่สาวๆ ชอบเมิน ก็อาหารที่ว่าดีต่อสุขภาพ บางอย่างกินมากไปก็ไม่ดี
อาหารที่ว่าดีต่อสุขภาพ บางอย่างกินมากไปก็ไม่ดี แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คุณและโทษของกาแฟ


วันนี้มาพบกับคุณและโทษของกาแฟ เมื่อพูดถึงกาแฟ อาจไม่มีใครไม่รู้จัก เรามักเข้าใจว่า ดื่มกาแฟแล้วจะทำให้สมองสดใสขึ้น ไม่ง่วงนอน แต่ถ้าติดกาแฟและดื่มมากจะไม่ดี ความจริง กาแฟนอกจากมีสรรพคุณทำให้สมองสดใสขึ้นแล้ว ยังมีคุณประโยชน์อีกหลายอย่าง วันนี้ ก็มาพบเรื่องราวเกี่ยวกับคุณและโทษของกาแฟกันครับ

กาแฟมีคุณหลายอย่าง อาทิ

1. กาแฟมีคาเฟอิน ซึ่งสามารถกระตุ้นประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกสมองสดชื่น ตื่นเต้น และช่วยแก้ความอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น

2. กาแฟเป็นผลดีต่อผิวพรรณ เพราะว่ากาแฟสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้คล่อง ช่วยให้อวัยวะย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และเวลาอาบน้ำ ผสมผงกาแฟลงไปด้วย จะมีบทบาทช่วยลดไขมัน

3. กาแฟช่วยแก้เมา เพราะคาเฟอินจะไปเสริมสมรรถนะของตับและไต หลังดื่มเหล้าแล้ว จะช่วยละลายแอลกอฮอร์ให้เป็นน้ำและไคบอนไดออกไซต์ ขับออกจากร่างกาย

4. ดื่มกาแฟวันละ 3 ถ้วย จะป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีได้ เพราะว่าคาเฟอินสามารถกระตุ้นให้ถุงน้ำดีหดตัว ลดคอเลสเตอรอลในถุงน้ำดี ซึ่งเป็นสารที่จะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด สหรัฐฯ ปรากฎว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟ2-3 ถ้วยต่อวัน จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดีต่ำกว่าผู้ไม่ดื่มกาแฟ 40%

5. กาแฟมีผลป้องกันหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร ขจัดไขมัน ขจัดความชื้นออกจากร่างกาย

6. กาแฟสามารถขจัดกลิ่นปาก เมื่อรับประทานกระเทียมหรืออาหารที่มีกลิ่นแรง สามารถดื่มกาแฟสักถ้วยหนึ่งเพื่อช่วยขจัดกลิ่นปาก

7. กาแฟช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งตับ

8. เมื่อรับประทานอาหารประเภทเนื้อมากแล้ว ดื่มกาแฟจะทำให้กระเพาะอาหารมีน้ำย่อยออกมามากขึ้น ช่วยละลายไขมัน แต่สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร ไม่ดื่มกาแฟดีกว่า

9. กาแฟดำมีผลช่วยลดความอ้วนได้ หลังอาหารเที่ยงครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง และก่อนเลิกงานดื่มกาแฟดำข้นที่ไม่ใส่น้ำตาล และเดินเล่นอีกสักพัก จะได้ช่วยเผาผลาญไขมัน จนลดความอ้วน

10. กาแฟดำสามารถช่วยแก้อาการความดันโลหิตต่ำ

แม้ว่ากาแฟมีคุณประโยชน์หลายประการ แต่ถ้าดื่มกาแฟมากเกินไป จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น ปวดหัว นอนไม่หลับ มีอาการเหล่านี้เป็นเวลานานจะส่งผลกระทบต่อระบบประสาท จนทำให้เกิดผลแทรกซ้อน เช่นความจำเสื่อม ปฏิกิริยาช้าลง

ผู้เชี่ยวชาญสรุปว่า โทษของกาแฟมีดังนี้

1. ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ผลการวิจัยปรากฎว่า ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งแล้ว ความดันโลหิตจะสูงขึ้นนานถึง 12 ชั่วโมง ดังนั้น กลุ่มคนที่เป็นความดันโลหิตสูง ไม่ควรดื่มกาแฟขณะรู้สึกเครียด หรือมีแรงกดดันมากจากการทำงาน

2. กาแฟจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแร่ธาตุ คาเฟอินจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแร่ธาตุของลำไส้ เช่นแคลเซียม เหล็กและสังกะสี ดังนั้น เด็กไม่ควรดื่มกาแฟ

3. กาแฟจะทำให้ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลร้ายแรงขึ้น เนื่องจากกาแฟจะทำให้กระเพาะอาหารมีน้ำย่อยออกมามากขึ้น จนทำให้เป็นแผลมากขึ้น ดังนั้น ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารที่เป็นแผลในกระเพาะไม่ควรดื่มกาแฟมาก โดยเฉพาะในช่วงท้องว่าง

4. กาแฟจะทำให้กระดูกพรุน เนื่องจากคาเฟอินมีคุณประโยชน์ทำให้ขับปัสสาวะมากขึ้น ถ้าดื่มกาแฟเป็นเวลานาน จะทำให้สูญเสีแคลเซียมยไปกับปัสสาวะมาก จนกระดูกพรุน โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงหลังวัยทอง ไม่ควรดื่มกาแฟมากเกินควร

5. หญิงตั้งครรภ์ถ้าดื่มกาแฟมาก จะทำให้ทารกที่อยู่ในครรภ์เติบโตไม่เป็นปกติ หรืออาจแท้งได้

6. กาแฟจะทำลายวิตามิน B1 ซึ่งเป็นวิตามินที่รักษาความสมดุลและความมั่นคงของระบบประสาท ดังนั้น ผู้ที่ขาดวิตามิน B1 ไม่ควรดื่มกาแฟ

แล้วอย่าลืมกลับมาติดตามกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

"น้ำมะพร้าว" ตัวช่วยแก้อาการเมาค้าง



วันนี้มาพบกับเรื่องของตัวช่วยที่ช่วยลดอาการเมาค้างนั่นคือ น้ำมะพร้าว มาพบกันเลยครับว่าเป็นอย่างไร
1. น้ำมะพร้าวอ่อนมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิด แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี บี 2 บี 5 และบี 6 กรดโฟลิก และกรดอะมิโน

2. ช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์

3. ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสจากน้ำมะพร้าวไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ร่างกายสดชื่น ดังนั้นน้ำมะพร้าวจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ชอบดื่มน้ำอัดลมดับกระหาย

4. มีฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัยอันควร ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี

5. มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสีย และสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส

6. มีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง ช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ ดังนั้นหลังจากเสียเหงื่อ เสียน้ำ และเสียเกลือแร่แล้ว จึงควรเติมพลังด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวแทนการดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่

นอกจากนี้ "น้ำมะพร้าวสด" ช่วยแก้อาการเมาค้างจากการดื่มหนัก เพราะสามารถช่วยลดอาการขาดน้ำได้ แต่ควรซื้อน้ำมะพร้าวอ่อนแบบเป็นลูก เพื่อความปลอดภัย สะอาด และมีสารอาหารครบถ้วนตามที่ควรจะเป็น และเมื่อเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน เพราะจะลดทอนคุณค่าทางโภชนาการ

Credit:healthcarethai

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ กับทุกคนนะครับ แล้วกลับมาพบกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หากหยุดเล่นเวทแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?

วันนี้มาพบกับ หากหยุดเล่นเวทแล้วจะเกิดอะไรขึ้น หลายคนคงเคยสงสัยว่าเกี่ยวกับคำถามว่า ถ้าหยุดเล่นเวทแล้วจะเป็นอย่างไร? บางคนบอกว่าจะอ้วน บางคนบอกจะเนื้อย้วยเหี่ยว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และ ทฤษฏีอะไรที่สนับสนุนข้อความเหล่านี้บ้าง มาพบกันเลยครับ
หยุดเล่นแล้วทำไมถึงอ้วน? ก่อนจะวิเคราะห์ในจุดสุดท้ายเมื่อหยุดออกกำลังกาย เราต้องวิเคราะห์ถึงการออกกำลังกายเองก่อนว่าส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย เป็นที่ทราบกันดีว่า การออกกำลังกายนั้นที่แน่ๆต้องใช้พลังงาน และ การออกกำลังกายโดยการเวทเทรนนิ่งที่เหมาะสมนั้นสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญไปได้ตลอดวันอีกด้วย ณ.จุดนี้ที่เราสามารถบอกได้ชัดเจนคือ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายใช้พลังงานในแต่ละวันมากขึ้น สมมติตัวเลขจากพลังงานของคนทั่วไปที่ 2,000 calories การออกกำลังกายนั้นอาจทำให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้นถึง 2,500 – 3,000 calories ต่อวันเลยทีเดียว และเมื่อร่างกายต้องการพลังงานที่มากขึ้นนั้นเราก็จะต้องรับประทานอาหารที่มากขึ้นด้วย เป็นไปตามกลไกการทำงานของระบบร่างกายที่ส่งสัญญาณความหิว หรือ ความต้องการอาหารให้ร่างกายนั้นต้องหาอาหารเพื่อรับประทาน ดังนั้นในขณะเดียวกัน กอปรกับพื้นฐานในการออกกำลังกายด้วยเวทเทรนนิ่ง เราเรียนรู้ที่จะสร้างพฤติกรรมการทานอาหารหลายมื้อไปพร้อมๆกัน แม้จะเป็นกรณีที่ผู้ฝึกต้องการควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายนั้นมีหลักฐานในการที่ผู้ที่ออกกำลังกาย “สามารถทานอาหารได้มากกว่าเก่า” ก่อนที่จะทำให้ “อ้วน” หรือ “เพิ่มน้ำหนัก” ด้วยปัจจัยตรงนี้เมื่อถึงวันที่ผู้ที่ออกกำลังกาย หยุดกิจกรรมการออกกำลังกายไปในทันที หมายถึง ในแต่ละวันผู้ฝึกนั้นๆจะสูญเสียดุลในการเผาผลาญไป (ตัวเลขสมมติต่อจากข้างต้น) 500 – 1000calories ทันที แต่สิ่งที่มักจะพบได้เป็นปกติคือ “พฤติกรรมการรับประทานอาหาร” ที่ยังคงอยู่ในปริมาณมาก เพราะร่างกายเคยชินกับการรับพลังงานที่ระดับเดิม 2,500 – 3,000 calories โดยที่ระบบเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนได้ในรายวันเสมือนการ “หยุดออกกำลังกาย” สิ่งที่เกิดขึ้นอันดับแรกคือ ผู้ที่หยุดออกกำลังกายนี้มีพลังงานส่วนเกินเพิ่มมาตามตัวเลขสมมติที่ 500 – 1000calories ต่อวัน ส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผู้ฝึก เพิ่มน้ำหนักตัว และ ไขมัน หลังจากที่หยุดออกกำลังกายนั่นเอง
วิธีปฏิบัติหากจำเป็นต้องหยุดออกกำลังกายในกรณีที่เป็นผู้ที่มีรูปร่างอ้วนง่าย
- ลดปริมาณอาหารที่รับประทานต่อวันลงให้เท่ากับก่อนออกกำลังกาย เช่น 3มื้อหลัก หรือ ประมาณ 2000 calories ต่อวัน เป็นเวลาล่วงหน้าอย่างน้อย 2-4สัปดาห์ก่อนที่คาดว่าจะหยุดออกกำลังกาย
- หลังจากนั้นค่อยๆลดการออกกำลังกายลง จนถึงจุดที่หยุดออกกำลังกายตามความจำเป็น
******ข้อสังเกตุร่างกายสะสมไขมันเพิ่มในขณะที่ร่างกายได้รับพลังงานเกินไม่ใช่การที่ “กล้ามเนื้อเปลี่ยนเป็นไขมัน” เมื่อหยุด******
หยุดเล่นแล้วผอม??? ในขณะที่ผู้ฝึกส่วนใหญ่ประสบปัญหาการเพิ่มน้ำหนักและไขมันเมื่อหยุดออกกำลังกาย ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจประสบกับปัญหาน้ำหนักลด ปริมาณกล้ามเนื้อลดลง เนื่องจากพื้นฐานของร่างกายและพฤติกรรมกลุ่มนี้คือ เป็นผู้ที่ระบบเผาผลาญสูง ร่างกายเพิ่มน้ำหนักยาก กินอาหารยาก ไม่มีความอยากอาหาร ซึ่งผู้ฝึกเหล่านี้สร้างกล้ามเนื้อโดยการฝึก และ การควบคุมโภชนการให้ร่างกายได้รับพลังงานที่ต้องการในปริมาณมากพอ โดยการ “พยายามกิน” เพื่อให้กล้ามขึ้น และเมื่อผู้ฝึกหยุดออกกำลังกาย กล้ามเนื้อที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นก็ลดปริมาณลงเนื่องจากไม่มีการกระตุ้น กอปรกับระบบเผาผลาญของร่างกายที่สูงโดยพื้นฐาน และ พฤติกรรมการไม่กินอาหารอย่างเพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามรถรักษากล้ามเนื้อนั้นๆได้ ร่างกายจึงกลับมาสู่รูปร่าง ผอมเหมือนเดิม ซึ่งในกรณีนี้มักไม่พบปัญหาสุขภาพเหมือนกับกรณีแรกที่ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้นนั่นเอง และเช่นกันผู้ฝึกที่ร่างกายเผาผลาญมากในตอนก่อนออกกำลังกาย ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดกรณีในข้างต้นคือ เป็นคนผอมมากออกกำลังกายแล้วหยุดฝึกกลายเป็นคนอ้วนง่าย เนื่องจากพฤติกรรมที่กล่าวมานั่นเองไม่ได้เกิดจากการที่ “กล้ามเนื้อเปลี่ยนเป็นไขมัน” แต่อย่างใด

ข้อสรุป จะเกิดอะไรเมื่อหยุดออกกำลังกาย
- ระบบเผาผลาญร่างกายลดลง
- ร่างกายต้องการพลังงานน้อยลง
- ร่างกายจะค่อยๆลดปริมาณกล้ามเนื้อลงจนถึงระดับที่สมดุล กล้ามเนื้อที่ขนาดใหญ่โตก็ลดขนาดลงโดยไม่มีปัญหาเรื่องความเหี่ยวย่นแต่อย่างไร เพราะกล้ามเนื้อและผิวหนังนั้นยืดหยุ่นตามธรรมชาติ
- ร่างกายจะค่อยๆกลับไปสู่ระบบพื้นฐานของร่างกายเดิมเช่น อ้วน หรือ ผอม

แปลว่าถ้าออกกำลังกายแล้วไม่สามารถ “หยุด” ได้ใช่หรือไม่ ?
มาถึงจุดนี้หลายคนคงจะเริ่มรู้สึกกังวลเกียวกับผลลัพธ์ในการออกกำลังกาย และ พันธะผูกพันที่เหมือนกับว่าต้องออกกำลังกายไปตลอดชีวิต หลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นยืนยันว่า การออกกำลังกายด้วยการเวท เทรนนิ่งนั้นส่งผลดีต่อผู้ฝึกทุกระดับ ไม่ว่าจะในวัยกลางคน หรือ เพศหญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งยังสามารถได้รับผลดีในการรักษามวลกระดูกจากการออกกำลังกายด้วย
- ณ.จุดหนึ่งของการออกกำลังกาย เราใช้ความพยายามสูงขึ้น และ สูงขึ้นเพื่อให้พัฒนาไปถึงเป้าหมาย
- เมื่อถึงเป้าหมาย หรือ รูปร่างทีต้องการแล้ว ลักษณะการฝึกก็จะเป็นเพียงการฝึกเพื่อ คงสภาพ หรือ ในอีกนัยสำคัญคือ ใช้ความพยายามเท่าๆเดิมก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องออกกำลังกายอย่างทุ่มเทจนสุดความสามารถตลอดชีวิต

Credit:planforfit

เป็นอย่างไรครับ ก็ใครที่เล่นเวทอยู่ก็ต้อง ออกกำลังกายนิดหน่อยนะครับ อย่าหยุดไปเลยเดียวมันจะคืนสภาพ นะครับ สู้ๆนะครับ แล้วกลับมาพบกับ  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เตือน!! อย่าถูตาไปมาตอนล้างหน้า !

 

         วันนี้มีสาระดีๆ มาฝาก ในเรื่องของตากับการล้างหน้า ผมจึงนำสาระดี ๆมาเตือนหนุ่ม ๆสาว ๆ ที่ลองรับชมกันครับว่า มันเป็นอย่างไร 

เวลาล้างหน้ามักเผลอไผลใช้มือถูบริเวณรอบดวงตาไปมา มาอ  คุณรู้หรือไม่ว่ากว่าน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวบริเวณรอบดวงตาจะกลับมาต้องใช้เวลาถึง 48 ชั่วโมงเลยทีเดียว  เพราะผิวบริเวณรอบดวงตานั้นบอบบางมากที่สุด  นอกจากนี้ยังมีต่อมเหงื่อและต่อมไขมันน้อยกว่าบริเวณอื่น ๆ  ดังนั้นเวลาล้างหน้าแนะนำให้ล้างบริเวณทีโซนเป็นหลัก  ส่วนบริเวณรอบดวงตาแค่ล้างเบา ๆก็พอ เพราะเราต้องให้ความสำคัญกับน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวซึ่งเป็นเซรั่มและครีมที่ดีที่สุด  เครื่องสำอางหรือเซรั่มใด ๆก็ไม่สามารถทดแทนได้  

 Credit: deedeejang

อย่างนี้และครับ เพราะงั้นเราไม่ควรถูตาไปมานะครับ เวลาล้างหน้าแล้วกลับมาพบกันกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อาหารที่ทานได้และไม่ได้ สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์

         วันนี้มาพบกับเรื่องโรคเกาต์ โรคเกาต์เกิดจาก กรดยูริกที่เป็นตัวการทำให้ข้ออักเสบ ซึ่งกรดยูริกนี้เกิดมาจาก สารพิวรีน ที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว และมาจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ซึ่งการควบคุมกินก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยควบคุมกรดยูริกได้ มาดูกันว่าอาหารแบบไหนที่มี สารพิวรีน ห้ามกิน และอาหารแบบไหนที่ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถกินได้


ควรงดเว้น ตับ น้ำต้มเนื้อ น้ำสกัดจากเนื้อเข้มข้น ปลาไส้ตัน น้ำปลาและกะปิที่ทำจากปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน ยีสต์ และอาหารที่ใช้ยีสต์หมัก เช่น เบียร์ หอยเชลล์ ปลาทู ปลารัง เนื้อไก่ เป็ด นก ไข่ปลา เพราะเป็นอาหารที่มีสารพิวรีนมาก

- กินได้ในปริมาณที่จำกัด คือ เนื้อวัว กระเพาะ ผ้าขี้ริ้ว เอ็น เนื้อหมู เนื้อปลา ปู กุ้ง หอย ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ หน่อไม้ฝรั่ง ผักขม เห็ด ดอกกะหล่ำ ชะอม กระถิน มีสารพิวรีนปานกลาง

กินได้โดยไม่แสดงอาการ คือ ข้าว ขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยว วุ้นเส้น บะหมี่ ขนมปังปอนด์ ข้าวโพด แคร็กเกอร์สีขาว มักกะโรนี นม ผลิตผลจากนม ไข่ น้ำมัน น้ำมันพืช น้ำมันหมู กะทิ เนย ผักผลไม้ทุกชนิด เกาลัด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ขนมหวานต่างๆ เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่ม กาแฟ ชา โกโก้ ช็อกโกแลต ซึ่งมีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบไม่มีเลย

นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเกาต์ ควรดื่มน้ำวันละมากๆ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

ที่มา : smart sme

แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

โอย ! ปวดตับ

วันนี้มาพบกับเรื่อง ปวดตับ ในที่นี่ไม่ใช่การอุทานด้วยเซ็งเรื่องอะไรสุดขีด  แต่เป็นอาการปวดตับจริง ๆ ที่เราท่านไม่ควรมองข้าม  รศ.นพ.พูลชัย จรัสเจริญวิทยา  ภาควิชาอายุรศาสตร์  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล   ได้เขียนบทความเตือนภัยโรคตับไว้อย่างน่าสนใจว่า หากคุณมีอาการปวดจุกบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่ อ่อนเพลียหมดแรงง่าย เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด เป็นสัญญาณเตือนว่าตับของคุณเริ่มมีปัญหา มีอะไรบ้างไปรับชมกันครับ


  สัญญาณอันตรายที่เตือนว่าตับเริ่มมีปัญหา 

  1. อาการปวดจุก หรือแน่นชายโครงขวา ซึ่งเป็นที่อยู่ของตับ อาจเพราะมีการอักเสบของเนื้อตับ หรือเกิดจากก้อนเนื้องอกภายในเนื้อตับ


  2. ดีซ่าน คือ ภาวะที่มีการคั่งของเม็ดสีน้ำดี ซึ่งสร้างมาจากตับ สะสมในเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้ผิวหนังและเยื่อตาขาวเปลี่ยน  มีสีเหลือง ซึ่งน้ำดีที่มากเกินในร่างกาย ส่วนหนึ่งจะถูกขับออกทางไต ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม เป็นสัญญาณบ่งว่า สมรรถภาพการทำงานของตับเริ่มถดถอย


  3. อ่อนเพลียเรื้อรัง หมดแรงง่าย อาจเกิดจากภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งควรได้รับการตรวจเลือดยืนยันและหาสาเหตุต่อไป โดยอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ การดื่มสุราจนทำให้เกิดโรคตับเรื้อรัง โรคอ้วนจนมีไขมันคั่งในเนื้อตับปริมาณมาก และการรับประทานยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรบางชนิด ในผู้ป่วยบางรายอาจมีสารเหล่านี้ตกค้าง จนทำให้เกิดตับอักเสบ ผลิตพลังงาน และสารที่จำเป็นต่อร่างกายได้ลดลง



  4. เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า สมรรถภาพการทำงานของตับเริ่มเสื่อมลง ทำให้ร่างกายต้องดึงพลังงานสำรองจากที่ต่างๆ มาเผาพลาญ  น้ำหนักตัวจึงลดลง


     ดังนั้นหากสังเกตตัวเองว่ามีสัญญาณเตือนความผิดปกติดังกล่าว อาจบ่งว่าสุขภาพตับเริ่มจะไม่แข็งแรง  มีโรคภัยซ้อนเร้นอยู่ จึงควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติมว่า สมรรถภาพการทำงานของตับและสาเหตุของความผิดปกตินั้นเกิดจากอะไร   แต่สิ่งสำคัญที่สุดเพื่อให้ห่างไกลจากโรคที่ทำให้ “ปวดตับ” เราควรจะดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยรับประทานอาหารที่สะอาดและมีคุณค่าทางโภชนาการในปริมาณที่เหมาะสม ร่วมกับออกกำลังกาย เพื่อควบคุมน้ำหนักและลดพุง  ไม่รับประทานสารอาหาร ยา หรือสมุนไพรใดๆ เสริมโดยไม่จำเป็น   เท่านี้คุณก็จะไม่ “ปวดตับ”

ที่มา : knowledgecare.org

แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ 
B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

7 ประโยชน์ของการกินเผ็ด ที่คุณอาจยังไม่รู้

      อาหารไทยนั้น ส่วนใหญ่มักจะมีรสชาติโดดเด่นไปทางเผ็ดซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรสชาติเผ็ดนั้นให้ทั้งประโยชน์และโทษในการกิน หากเรากินอย่างผิดๆ เช่น กินเผ็ดจัดๆ ในขณะที่ท้องว่าง กินเผ็ดผิดเวลา จนอาจเป็นโรคกระเพาะ แต่ถ้าหากเรากินแบบเข้าใจก็จะมีประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย มาดูกันดีกว่าว่า ประโยชน์จากการกินเผ็ดมีอะไรบ้าง


1. พริกช่วยป้องกันโรคหัวใจ ด้วยพริกมีทั้งวิตามินเอ วิตามินซี ธาตุเหล็ก และแคลเซียม ที่มีมากในพริก

2. ช่วยขยายหลอดลม ช่วยขับเสมหะ และเปฺิดคอให้โล่งขึ้น  ดีสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้

3. ช่วยไล่เซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งในต่อมลูกหมากในผู้ชาย มะเร็งผิวหนังและมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย เพราะพริกนั้นช่วยล้างพิษให้กับร่างกาย

4. ช่วยลดไขมัน ป้องกันลิ่มเลือดจับตัว และช่วยคุมน้ำหนัก เพราะพริกช่วยเผาผลาญพลังงาน

5. ช่วยลดปวดด้วยกรด ที่เรียกว่า “แคปไซซิน” จากพริก และสาร “เคอคิวมิน” ในขมิ้นที่ช่วยดับไฟอักเสบได้  อีกทั้งยังช่วยลกการปวดอักเสบตามข้ออย่างรูมาตอยด์, ข้อเสื่อม และอาการปวดฟกช้ำ

6. ช่วยคลายเครียด เพราะสร้าง “เอ็นดอฟิน” ทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวา

7. ช่วยเรียกน้ำย่อยและเจริญอาหาร ดีสำหรับคนเบื่ออาหาร ดังนั้นการได้รับประทานรสเผ็ดจะช่วยสะกิดต่อมรับรสให้รู้รสชาติได้ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นดอกลิ้นได้

credit: smartsme

แล้วกลับมาพบกันกับ 
B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สาวกคอกาแฟควรอ่าน!! ประโยชน์และโทษของกาแฟที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

                                    
       

   วันนี้เรามารู้เกี่ยวกับ ประโยชน์และโทษของกาแฟที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งเรามักเข้าใจว่า ดื่มกาแฟแล้วจะทำให้สมองสดใสขึ้น ไม่ง่วงนอน แต่ถ้าติดกาแฟและดื่มมากจะไม่ดี ความจริง กาแฟนอกจากมีสรรพคุณทำให้สมองสดใสขึ้นแล้ว ยังมีคุณประโยชน์อีกหลายอย่าง วันนี้จะมาบอกเล่าถึงคุณและโทษของกาแฟกัน

กาแฟมีคุณประโยชน์หลายอย่าง อาทิเช่น

- กาแฟมีคาเฟอิน ซึ่งสามารถกระตุ้นประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกสมองสดชื่น ตื่นเต้น และช่วยแก้ความอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น


- กาแฟเป็นผลดีต่อผิวพรรณ เพราะว่ากาแฟสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้คล่อง ช่วยให้อวัยวะย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และเวลาอาบน้ำ ผสมผงกาแฟลงไปด้วย จะมีบทบาทช่วยลดไขมัน


- กาแฟช่วยแก้เมา เพราะคาเฟอินจะไปเสริมสมรรถนะของตับและไต หลังดื่มเหล้าแล้ว จะช่วยละลายแอลกอฮอร์ให้เป็นน้ำและไคบอนไดออกไซต์ ขับออกจากร่างกาย


- ดื่มกาแฟวันละ 3 ถ้วย จะป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีได้ เพราะว่าคาเฟอินสามารถกระตุ้นให้ถุงน้ำดีหดตัว ลดคอเลสเตอรอลในถุงน้ำดี ซึ่งเป็นสารที่จะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด สหรัฐฯ ปรากฎว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟ2-3 ถ้วยต่อวัน จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดีต่ำกว่าผู้ไม่ดื่มกาแฟ 40%


- กาแฟมีผลป้องกันหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร ขจัดไขมัน ขจัดความชื้นออกจากร่างกาย


- กาแฟสามารถขจัดกลิ่นปาก เมื่อรับประทานกระเทียมหรืออาหารที่มีกลิ่นแรง สามารถดื่มกาแฟสักถ้วยหนึ่งเพื่อช่วยขจัดกลิ่นปาก


- กาแฟช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งตับ


- เมื่อรับประทานอาหารประเภทเนื้อมากแล้ว ดื่มกาแฟจะทำให้กระเพาะอาหารมีน้ำย่อยออกมามากขึ้น ช่วยละลายไขมัน แต่สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร ไม่ดื่มกาแฟดีกว่า


- กาแฟดำมีผลช่วยลดความอ้วนได้ หลังอาหารเที่ยงครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง และก่อนเลิกงานดื่มกาแฟดำข้นที่ไม่ใส่น้ำตาล และเดินเล่นอีกสักพัก จะได้ช่วยเผาผลาญไขมัน จนลดความอ้วน


- กาแฟดำสามารถช่วยแก้อาการความดันโลหิตต่ำ

         แม้ว่ากาแฟมีคุณประโยชน์หลายประการ แต่ถ้าดื่มกาแฟมากเกินไป จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น ปวดหัว นอนไม่หลับ มีอาการเหล่านี้เป็นเวลานานจะส่งผลกระทบต่อระบบประสาท จนทำให้เกิดผลแทรกซ้อน เช่นความจำเสื่อม ปฏิกิริยาช้าลง
และทางผู้เชี่ยวชาญได้สรุปโทษของกาแฟไว้ดังนี้


- ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ผลการวิจัยปรากฎว่า ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งแล้ว ความดันโลหิตจะสูงขึ้นนานถึง 12 ชั่วโมง ดังนั้น กลุ่มคนที่เป็นความดันโลหิตสูง ไม่ควรดื่มกาแฟขณะรู้สึกเครียด หรือมีแรงกดดันมากจากการทำงาน

- กาแฟจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแร่ธาตุ คาเฟอินจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแร่ธาตุของลำไส้ เช่นแคลเซียม เหล็กและสังกะสี ดังนั้น เด็กไม่ควรดื่มกาแฟ

- กาแฟจะทำให้ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลร้ายแรงขึ้น เนื่องจากกาแฟจะทำให้กระเพาะอาหารมีน้ำย่อยออกมามากขึ้น จนทำให้เป็นแผลมากขึ้น ดังนั้น ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารที่เป็นแผลในกระเพาะไม่ควรดื่มกาแฟมาก โดยเฉพาะในช่วงท้องว่าง

- กาแฟจะทำให้กระดูกพรุน เนื่องจากคาเฟอินมีคุณประโยชน์ทำให้ขับปัสสาวะมากขึ้น ถ้าดื่มกาแฟเป็นเวลานาน จะทำให้สูญเสีแคลเซียมยไปกับปัสสาวะมาก จนกระดูกพรุน โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงหลังวัยทอง ไม่ควรดื่มกาแฟมากเกินควร

- หญิงตั้งครรภ์ถ้าดื่มกาแฟมาก จะทำให้ทารกที่อยู่ในครรภ์เติบโตไม่เป็นปกติ หรืออาจแท้งได้

- กาแฟจะทำลายวิตามิน B1 ซึ่งเป็นวิตามินที่รักษาความสมดุลและความมั่นคงของระบบประสาท ดังนั้น ผู้ที่ขาดวิตามิน B1 ไม่ควรดื่มกาแฟ


เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ประโยชน์และโทษของกาแฟที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ใครที่ชื่นชอบก็ควรบริโภคนะครับผม แล้วกลับมาพบกันกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ