วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

9 อาหารแคลอรี่ต่ำ ช่วยควบคุมน้ำหนัก

วันนี้มาพบกับ 9 อาหารแคลอรี่ต่ำ ช่วยควบคุมน้ำหนัก จากการที่กระแสลดน้ำหนักและการทานอาหารคลีนยังคงไม่หายไปไหน อีกอย่างนึงที่ต้องควบคู่กันไปนั่นคือ การเลือกทานอาหารที่ดูแคลอรี่ เพื่อให้เราสามารถเผาผลาญพลังงานเหล่านั้นออกไปได้ ไม่เกิดการสะสม และอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ ก็มีอยู่มิใช่น้อย ซึ่งบางอย่างไม่อร่อย แต่พูดถึงคุณประโยชน์ก็มากพอสมควรมาดูกันครับว่ามีอะไรกันบ้าง
health-003
1. ไข่
อาหารแคลอรี่ต่ำ อย่างไข่ มีแคลอรี่เพียง 70-80 แคลอรี่ต่อหนึ่งฟอง แน่นอนไข่เป็นอาหารที่ทำง่ายและมีอยู่เกือบทุกเมนู แต่เน้นการปรุงด้วยวิธีอบ ต้ม นึ่งดีกว่านะคะ ไม่เช่นนั้น อาหารแคลอรี่ต่ำ จะกลายเป็นอาหารเพิ่มความอ้วน เปลี่ยนจากไข่ดาว ไข่เจียวมาเป็นไข่ลวก ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น สารพัดไข่ซึ่งมันให้คุณได้รับแคลอรี่ไม่เกิน 100 แคลอรี่แน่นอน
2. มันเทศ
มันเทศเป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ ที่เหมาะจะนำมาเป็นขนมขบเคี้ยวที่ดี เพราะมันเทศมีแคลอรี่เพียง 55 แคลอรี่ ทั้งยังไม่มีน้ำมันและไม่ทำให้คุณต้องกังวลเกี่ยวกับการจำกัดจำนวนแคลอรี่
3. ถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองคั่วกรอบเป็นอะไรที่อร่อยมาก และข่าวดีก็คือถั่วเหลืองนับเป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ ที่มีแคลอรี่ต่ำกว่า 100 แคลอรี่ ถั่วเหลือง 3 ช้อนโต๊ะจะมีปริมาณเพียงแค่ 80 แคลอรี่เท่านั้น คุณจึงสามารถเพลิดเพลินกับมันได้อย่างน่าพอใจทีเดียว
4. แตงโม
อาหารแคลอรี่ต่ำ เช่น แตงโมช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น มีกำลังอยากจะทำสิ่งต่อไป แตงโมเป็นผลไม้ที่เหมาะมากกับฤดูร้อน คุณไม่ต้องกังวลกับการหม่ำแตงโมให้สดชื่นทุกวัน เพราะแตงโมให้แคลอรี่เพียง 90 แคลอรี่เท่านั้น
123151997
5. บลูเบอร์รี่
หากอาหารที่คุณทานเข้าไปไม่ค่อยจะมีประโยชน์สักเท่าไหร่แถมแคลอรี่ยังมหาศาล ลองหันมาหาอาหารว่างที่กินแล้วสดชื่นและเป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ อย่างบลูเบอร์รี่ เพราะมันให้พลังงานแค่ 85 แคลอรี่ และยังอุดมสมบูรณ์ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน เกลือแร่ และบรรดาสิ่งดีๆที่ ร่างกายของคุณต้องการจริงๆ คุณสามารถทานบลูเบอร์รี่สดเป็นอาหารว่างยามบ่าย หรือนำมาผสมกับโยเกิร์ตและซีเรียลของคุณเป็นอาหารเช้าเพื่อสุขภาพของคุณเอง
6. ลูกพีช
อาหารแคลอรี่ต่ำ ได้แก่ พีชขนาดกลางหนึ่งลูกได้รับ 40 แคลอรี่ หมายความว่าคุณสามารถทานผลไม้ได้โดยไม่ทำลายขีดจำกัดของแคลอรี่ 100 แคลอรี่ คุณสามารถแบ่งครึ่งซึ่งมีประมาณ 20 แคลอรี่ใส่ไว้ในเครื่องปั่น แล้วเทโยเกิร์ต 6 ออนซ์ (อีก 80 แคลอรี่) และปั่นรวมกัน คุณก็จะได้ทาน อาหารแคลอรี่ต่ำ กว่า 100 เป็นของว่าง
7. Oyster Crackers
หากคุณชื่นชอบคุกกี้หรือแครกเกอร์ อาหารแคลอรี่ต่ำ อย่าง Oyster Crackers เป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ ที่จะทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับการทานกับเพื่อนได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกินขีดจำกัด เพราะว่าแคร๊กเกอร์ชนิดนี้มีเพียงแค่ 60 แคลอรี่เท่านั้น
8. ขนมเจลาติน
ขนมเจลาตินเป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ ที่น่าแปลกใจ เพราะมีแคลอรี่อยู่ในระดับ 10 ถึง 30 แคลอรี่ต่อถ้วยซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรส แต่ขนมเจลาตินอาจจะดูเป็นของหวานเกินไป หรืออาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดี อาจจะต้องมีน้ำแข็งเพื่อทำให้อร่อยยิ่งขึ้นก็ได้
158773961
9. หัวไชเท้า
หัวไชเท้าฟังดูไม่ค่อยน่าทานเท่าไหร่ แต่มันเป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ ที่ให้แคลอรี่เพียงแค่ 14 แคลอรี่เท่านั้น หัวไชเทาเป็นแหล่งอาหารที่ดีของวิตามิน แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัสทองแดงและเหล็ก ซึ่งหมายความว่าคุณควรจะมีสารอาหารเหล่านี้ในร่างกายแม้ว่าคุณไม่ได้ใส่ใจที่จะทานก็ตาม
นอกจากแคลอรี่ต่ำแล้วยังมีประโยชน์มากมาย สามารถปรับเปลี่ยนเมนูอาหารเพื่อใส่พวกนี้เป็นส่วนประกอบ แต่อย่าลืมหาอย่างอื่นทานควบคู่ไปด้วย เช่น พวกคาร์โบไฮเดรต มันอาจไม่ได้เป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ แต่คุณก็จำเป็นต้องรับประทานเพื่อทำให้สุขภาพคุณแข็งแรงด้วยการรับอาหารครบทุกหมู่

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 9 อาหารแคลอรี่ต่ำ ช่วยควบคุมน้ำหนัก แจ่มไปเลยใช่ไหม น่าเอาไปลองใช้กันนะครับแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

ผิวใสไร้สิวด้วย ‘โยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่’

ผิวใสไร้สิวด้วย  ‘โยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่’         

วันนี้มาพบกับ ผิวใสไร้สิวด้วย ‘โยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่’ ทำอย่างไรบ้างนะไปพบกันเลย ใครที่ชอบกลิ่นหวานอมเปรี้ยวของสตรอเบอร์รี่ คงถูกใจกับ "สูตรรักษาสิว" วันนี้ เพราะเรามีสูตรมาร์คหน้าด้วยผลสตอรเบอร์รี่มาฝาก “วัยรุ่นที่เป็นสิว”เหมาะกับ "ผิวระคายเคือง แพ้ง่าย" เมื่อมาส์กแล้วผิวหน้าจะ "ขาวใส" แถมมาอีกด้วยนอกจากนี้ยัง "รู้สึกผ่อนคลาย" แบบไม่ต้องพึ่งทิชชูมาส์กหน้าเลยจ้า

วิธีการง่ายๆ ดังนี้

1. นำผลสตรอเบอร์รี่มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นๆ  จากนั้นนำไปคลุกเคล้ากับโยเกิร์ตสูตรธรรมชาติ

2. นำมาทาให้ทั่วใบหน้า เว้นดวงตา และปาก ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที

3. ล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือ ล้างด้วยโฟมล้างหน้าที่ใช้ประจำ

Credit : กระปุกดอทคอม

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ  ผิวใสไร้สิวด้วย ‘โยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่’ สาวๆน่าจะชอบกันนะครับแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ 
  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

ประโยชน์จาก "กากกาแฟ" ที่คุณนึกไม่ถึง

ประโยชน์จาก "กากกาแฟ" ที่คุณนึกไม่ถึง

วันนี้มาพบกับประโยชน์จาก "กากกาแฟ" ที่คุณนึกไม่ถึงนอกจากกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นยามเช้าเป็นอะไรที่วิเศษสุดๆ แต่รู้มั้ยว่า กากกาแฟตากแห้งยังทำประโยชน์ได้สารพัดชนิดที่คุณนึกไม่ถึง มารับชมกันครับว่ามีอะไรกันบ้าง

ดูดซับกลิ่น
ไม่ต้องเสียเงินซื้อสเปรย์ปรับอากาศ แค่วางชามใส่กากกาแฟในที่ที่คุณต้องการ ทั้งในครัว ตู้เย็น หรือห้องน้ำกากกาแฟจะช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ รวมถึงรองเท้าที่มีกลิ่นอับก็ใช้ได้เหมือนกัน

มือฮ้อม-หอม
หลังเสร็จสิ้นจากการทำครัว นำกากกาแฟมาถูมือเบาๆ จะช่วยขจัดกลิ่นต่างๆ ได้

ขจัดคราบไขมัน
ไม่ว่าจะเป็นหม้อ กระทะ จานชาม นำกากกาแฟมาช่วยล้างทำความสะอาดและขจัดคราบไขมันได้อย่างดี แต่ต้องระวังสีอ่อนๆ ของกาแฟที่จะติดค้างด้วยล่ะ

ขับไล่แมลง
โดยเฉพาะมดและทากด้วยการโรยกากกาแฟในทุกที่ที่คุณต้องการ

ปิดรอยขีดข่วน
แก้ไขรอยขีดข่วนบนเฟอร์นิเจอร์หนังแบบฉุกเฉิน โดยถูกากกาแฟเบาๆ บนรอยนั้น สีของกาแฟจะช่วยกลบให้รอยข่วนจางลง

ให้ปุ๋ยชั้นดี
โดยการผสมกากกาแฟตากแห้งกับดินที่จะใช้ปลูกต้นไม้จะทำให้ดินร่วนซุย หรือผสมกับน้ำให้เจือจางแล้วรดต้นไม้จะทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดและต้นไม้เติบโตได้ดี โดยเฉพาะดอกกุหลาบและไฮเดรนเยีย

ป้องกันสัตว์เลี้ยงจากสวนดอกไม้
ด้วยการโรยกากกาแฟที่ผสมกับเปลือกส้มหั่นละเอียดในบริเวณสวนดอกไม้ สัตว์เลี้ยงของคุณคงไม่ชอบกลิ่นกาแฟเหมือนคุณแน่ๆ

ย้อมสี
ถ้าคุณอยากได้ผ้าสีกาแฟหรือกระดาษสีซีเปียสำหรับทำงานฝีมือ ใช้กากกาแฟละลายน้ำปรับให้สีเข้มหรืออ่อนได้ตามต้องการ
ที่มา : Lisaguru.com

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ ประโยชน์จาก "กากกาแฟ" ที่คุณนึกไม่ถึง หลายข้อนี่ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันนะครับเนี่ย แล้วกับมาพบกันใหม่กับ  
B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

6 วิตามินและแร่ธาตุที่ดี ต่อสุขภาพช่องปาก

      เย็นนี้มาพบกับ  6 วิตามินและแร่ธาตุที่ดี ต่อสุขภาพช่องปาก เพราะ ปาก เปรียบเสมือนกับประตูทางเข้าของร่างกาย ในแต่ละวันเรานำทั้งอาหารและเครื่องดื่มมากมายเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ขาด การบำรุงรักษาและดูแลช่องปากให้สะอาดและถูกหลักสุขอนามัยอยู่เสมอ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง ซึ่งช่องปากก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องได้รับ แร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ เช่นกัน 

เรามาดูกันสิว่า มีวิตามิน แร่ธาตุอะไรบ้างที่สำคัญต่อช่องปากของเรากันบ้างรับชมกันเลยครับที่วิตามินตัวแรกคือ

วิตามินเอ

วิตามินเอก็มีประโยชน์ต่อช่องปาก เพราะมีส่วนช่วยให้เยื่อบุผิวในช่องปากสร้างเมือกและทำให้การไหลเวียนของน้ำลายดีขึ้น แถมยังช่วยให้เหงือกแข็งแรงและช่วยสมานแผลที่เกิดบริเวณเหงือกอีกด้วย

          ถ้าอยากบำรุงสุขภาพช่องปากไปพร้อม ๆ กับร่างกาย ก็ลองหาอาหารที่มีวิตามินเอ อย่างเช่น ปลา ไข่แดง เครื่องในสัตว์ จำพวกเช่นตับ พืชผักที่มีสีส้มและเหลืองอย่างเช่นแครอท มะม่วง และมันหวาน หรือจะเป็นผักใบเขียวเข้มอย่างผักคะน้า ผักโขม ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนมารับประทานกันดู

วิตามินบี

           ลดการอักเสบของลิ้นและรักษาแผลเปื่อยที่ลิ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก สามารถหาทานได้จากเนื้อสัตว์จำพวกสัตว์ปีกและวัว ส่วนในพืชก็จะเป็นพืชตระกูลถั่วและผักใบเขียว แต่สำหรับคนที่ทานมังสวิรัติจะได้รับวิตามิน B12 ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ฉะนั้นอาจจะหาวิตามินมาทานเสริมเพื่อให้ได้รับวิตามินบีอย่างครบถ้วน

 วิตามินซี

          วิตามินซี เป็นวิตามินที่ดีสำหรับคนที่เป็นโรคเหงือก เพราะวิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบที่บริเวณเหงือก ซึ่งการขาดวิตามินซีเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน และวิตามินซียังมีคุณสมบัติเป็นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและทำให้แผลในช่องปากหายเร็วขึ้น วิตามินซีสามารถหาทานได้จากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว แคนตาลูป พวกและพวกผลไม้ตระกูลเบอร์รี ในผักก็สามารถหาได้จากผักใบเขียว มันฝรั่ง มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ พริกไทย

วิตามินดี

          วิตามินดีเป็นวิตามินที่ร่างกายของเราได้รับง่ายที่สุด เพราะสังเคราะห์ได้จากแสงแดด ถ้าหากร่างกายได้รับแสงแดดไม่เพียงพอก็จะทำให้ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมเข้าในกระดูกและฟันได้ แต่ก็ควรจะเป็นแดดอ่อน ๆ ในตอนเช้าเท่านั้น เพราะแดดในช่วงเวลาอื่นจะทำให้ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งผิวได้ได้ สำหรับอาหารจำพวกนมและพวกซีเรียลอาหารเช้า แคปซูลน้ำมันตับปลาก็เป็นแหล่งวิตามินดีชั้นเยี่ยมเช่นกัน

แคลเซียม

          ส่วนใหญ่แล้วร่างกายจะเก็บสะสมแคลเซียมเอาไว้ในกระดูก และแน่นอนว่าฟันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สะสมแคลเซียมเอาไว้เช่นกัน โดยแคลเซียมช่วยในการควบคุมระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าหากเราได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอล่ะก็ ร่างกายจะดูดซึมเอาแคลเซียมจากกระดูกมาใช้แทน เป็นสาเหตุทำให้กระดูกเปราะบางลงและเกิดโรคกระดูกพรุน

          ซึ่งอาหารที่ช่วยเสริมแคลเซียม เช่น นม ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ผักใบเขียว กระหล่ำดอก กระหล่ำปลี อัลมอนด์ น้ำส้มและนมถั่วเหลือง ถ้าไม่อยากให้ฟันอ่อนแอหรือหักง่ายล่ะก็ ควรเสริมแคลเซียมกันด้วยนะ

โคเอนไซม์ Q10

          โคเอนไซม์ Q10 ช่วยรักษาสุขภาพในช่องปาก ช่วยลดอาการปวดฟันและลดการเลือดออกในช่องปากที่มาจากโรคเหงือก อีกทั้งยังลดการอักเสบของเหงือกและทำให้ลมหยใจหอมสดชื่นอีกด้วย ซึ่งโคเอนไซม์ Q10 นอกจากจะมีในร่างกายแล้วยังพบได้จาก เนื้อหมู เนื้อวัว ตับไก่ น้ำมันคาโนลาและน้ำมันถั่วเหลือง หรือในผักชีฝรั่ง


ที่มา : kapook.com


         เป็นอย่างไรกันบ้าง รู้กันแล้วใช่ไหมว่าวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อช่องปากมีอะไรบ้าง แน่นอนว่าสารอาหารเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นต่อช่องปากเพียงอย่างเดียว แต่ยังจำเป็นต่อสุขภาพร่างกายส่วนอื่น ๆ ด้วยนะครับแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ 
B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

10 เคล็ดลับ ที่จะคืนความกระปรี้กระเปร่าให้แก่คุณ



วันนี้มาพบกับ 10 เคล็ดลับ ที่จะคืนความกระปรี้กระเปร่าให้แก่คุณ มันมีอะไรบ้างนะที่จะทำให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่าในวันที่แสนจะธรรมดา ลองไปดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง



1. เสริมสร้างภูมิต้านทาน
"ถนอมเรี่ยวแรงช่วงหน้าหนาวให้ฟิตเกินร้อยด้วยการกินวิตามินซีมากๆ รวมถึงน้ำมันตับปลาและน้ำมันลินซีดทุกวันจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง สามารถต่อกรกับโรคภัยที่มากับหน้าหนาว กินอาหารเสริม ออกกำลังกาย เช่น ว่ายน้ำ เดิน หรือปั่นจักรยานทุกวันจะช่วยเพิ่มพลังงาน" แจน เดอ รีส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัดของ Health Plus


2. กินอาหารเพิ่มพลังชี่
"กินอาหารที่เหมาะสม และดูแลพลังงานสำคัญหรือพลัง 'ชี่' ให้แข็งแรงการมีพลัง 'ชี่' แข็งแรงทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและมีพลัง ที่สำคัญคือต้องมีกรดในร่างกายไม่มากจนเกินไป โดยทั่วไปอาหารที่มีความเข้มข้นของน้ำตาลสูงจะมีความเป็นกรด จึงควรงดอาหารประเภทดังกล่าว และกินอาหารที่มีความเป็นด่างแทน เช่น ผักสีเขียวเพื่อสร้างสมดุลให้ร่างกาย กายและใจแข็งแรง และถ้าอยากให้ร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า ควรงดหรือกินข้าวสาลีและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีความเป็นกรดให้น้อยลง" บาร์ติ วาส ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรเวทของ Health Plus


3. สดชื่นทุกฤดูกาล
"คนแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าจะมีความสวยตามธรรมชาติ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เป็นความสดชื่นเปล่งปลั่งที่เกิดจากภายในหากต้องการให้ร่างกายฟิตแข็งแรงเต็มร้อยตลอดปี ก็ควรกินอาหาร ออร์แกนิกส์ที่ปลูกตามฤดูกาล และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ไม่มีส่วนผสมของสารก่อพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมากเกินไป" ซูซาน เคอร์ติส นักสุคนธบำบัดและผู้อำนวยการ Neal's Yard Remedies


4. หายใจอย่างถูกวิธี
"เมื่อนึกถึงความกระปรี้กระเปร่า ผมจะนึกถึงชีวิตชีวาของพลังแห่งชีวิต ซึ่งก็คือการหายใจแบบโยคะ คำว่า ลมหายใจมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า พลังปราณ การฝึกหายใจอย่างถูกต้องเป็นวิธีนำพลังงานเข้าสู่ร่างกายที่ได้ผล ช่วยให้จิตใจและสมองปลอดโปร่งแจ่มใส หากสามารถหายใจได้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้ชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยพลัง ควรหันมาเล่นโยคะ หรือฝึกนั่งสมาธิและหายใจลึกๆ จนถึงท้อง จากนั้นเลื่อนขึ้นมาที่หน้าอก นี่คือการหายใจอย่างถูกต้อง" ฮาวเวิร์ด แนปเปอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะ GMTV


5. เติมความสดชื่นด้วยน้ำมันหอมระเหย
"น้ำมันหอมระเหยที่ร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากที่สุดน่าจะเป็นกลิ่นเปปเปอร์มินต์ 2 หยดลงในเจลอาบน้ำและแชมพูจะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ารับเช้าวันใหม่ น้ำมันกลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยลดความวิตกกังวลและเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 3 หยดลงในน้ำมันตัวพา (carrier oil) ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวอย่างเจลอาบน้ำ เคล็นซิ่ง และแชมพูที่มีส่วนผสมของทีทรีออยล์จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวติดเชื้อ แถมยังทำให้ผิวแข็งแรงสดชื่น "โรเบิร์ต ทิสเซอร์รานด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดุคนธบำบัดของ Health Plus


6. ใกล้ชิดธรรมชาติ
"ธรรมชาติช่วยให้ใจเย็นและมองโลกในแง่ดีซึ่งจะส่งผลไปถึงสุขภาพกายและใจ ทำให้รู้สึกระชุ่มกระชวย การเดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้าซึ่งปกคลุมด้วยน้ำค้างหรือหยดฝนในตอนเช้าช่วยให้รู้สึกสดชื่น แม้คุณจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองก็ตาม วิธีนี้ช่วยให้คุณได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ แค่ใช้เวลา 2-3 นาทียืนหลับตาสัมผัสความรู้สึก ขณะยืนอยู่บนยอดหญ้า ตั้งสมาธิพร้อมหายใจเข้าลึกๆ แล้วคุณจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อหลังผ่านไป 2-3 นาที เป็นวิธีง่ายๆ แต่ได้ผล "ดอว์น เบรสลิน ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาบุคลิกภาพของ Health Plus


7. กินอาหารที่ให้พลังงานตลอดวัน
"สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นความรู้สึกกระฉับกระเฉงและปลอดโปร่งสดชื่น ดังนั้น ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร กินผักผลไม้มากๆ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ควรกินอาหารที่มีไกลเซมิกต่ำ หรืออาหารที่มีน้ำตาลน้อย และปล่อยพลังงานออกมาช้าๆ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังข้าวไรย์ องุ่นและแอปเปิ้ล อาหารเล่านี้ให้พลังงานตลอดวัน" แมตต์ โรเบิร์ต ผู้ฝึกสอนฟิตเนส


8. กินอาหารล้างพิษ
"สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องทำเพื่อเสริมสร้างความสดชื่นกระปรี้ กระเปร่า คือ การเลือกกินอาหารที่เหมาะสม ลงทุนซื้อเครื่องคั้นน้ำผลไม้ และหนังสือสูตรทำสมูทตี้และน้ำผลไม้สักเล่ม วิธีนี้จะช่วยให้ผักผลไม้เข้าสู่อวัยวะภายในร่างกายได้ง่าย เวลาปรุงอาหาร ให้ใช้น้ำมันมะกอกแทนเนย ใช้โยเกิร์ตแทนครีมข้น เพราะอาหารเหล่านี้มีไขมันต่ำกว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า กินแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่า" แอนโธนี่ วอร์แรล ธอมป์สัน เชฟคนดังและนักรณรงค์การบริโภคอาหารออร์แกนิกส์


9. ทำแต่ละวันให้ดีที่สุด
"ถ้าต้องการให้ชีวิตกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่า ในแต่ละวันคุณต้องมองไปข้างหน้า เริ่มจากคุณต้องวางแผนชีวิตในแต่ละวัน การทำเช่นนี้จะช่วยให้รู้ว่าอะไรบ้างที่จำเป็นต้องทำ ชีวิตในแต่ละวันไม่จบลงด้วยความอ่อนล้าและว่างเปล่า เก็บงานยากไว้ทำทีหลัง และอย่าลืมให้รางวัลกับตัวเองทุกครั้งที่ทำงานสำเร็จ" แพม ริชาร์ดสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการโค้ชเสริมสร้างพลังชีวิตของ Health Plus


10. มองโลกในแง่ดี
คิดบวก อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสีสันสดใส อ่านหนังสือและบทความที่ช่วยยกระดับจิตใจแทนการอ่านเรื่องหดหู่หรือรุนแรง ออกนอกบ้านไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงแทนที่จะนั่งจับเจ่าอยู่กับบ้าน การใช้ชีวิตง่ายๆ แบบนี้จะช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกาย ทำให้อารมณ์แจ่มใส


อ้างอิง : Health Plus Magazine

เป็นอย่างไรกันบ้างครับผมกับ 10 เคล็ดลับ ที่จะคืนความกระปรี้กระเปร่าให้แก่คุณ หวังว่ามันจะช่วยทุกท่านนะครับผมแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ 
B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราไม่กินอาหารเช้า

           วันนี้มารู้เกี่ยวกับเรื่องอาหารเช้ามื้อสำคัญที่สุดของวันกลับเป็นมื้ออาหารที่คนละเลยมากที่สุด ไม่ว่าจะตื่นสาย รีบไปโรงเรียน รีบไปทำงาน  ทั้งที่อาหารเช้าให้ประโยชน์กับร่างกายมากจริง ๆ ลองมารับชมข้อมูลกันครับ
    
           เด็กที่อดอาหารเช้าเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายไม่แข็งแรง การเจริญเติบโตไม่เป็นไปตามเกณฑ์

           เด็กวัยเรียนจะขาดสมาธิง่าย ส่งผลต่อสติปัญญา การเรียน เพราะอาหารเช้าจะช่วยเติมพลังสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ การเรียนรู้ ความกระตือรือร้น ทำให้การทำกิจกรรมในแต่ละวันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

           คนไม่ทานอาหารเช้ามีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนมากกว่าคนทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะการไม่ทานอาหารเช้าจะทำให้ระบบ เผาผลาญเริ่มต้นช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ร่างกายจึงรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นแบบนี้เราก็ยิ่งทานมากขึ้นในมื้อต่อไป

           เสี่ยงโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจ เพราะในตอนเช้าเลือดมีความเข้มข้นสูง ทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมองหรือหัวใจอุดตันได้ แต่ถ้าเราทานอาหารเช้าจะช่วยเจือจางระดับความเข้มข้นในเลือดได้

           คนที่รับประทานอาหารเช้าจะมีภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือที่เรียกว่า "ภาวะดื้อต่ออินซูลิน" ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานลดลงถึงร้อยละ 35-50 แต่ถ้าใครไม่ชอบทานอาหารเช้าก็เท่ากับว่า คุณเสี่ยงต่อการเป็น "โรคเบาหวาน" เพิ่มขึ้น

           มีโอกาสเป็นโรคนิ่ว  เพราะการไม่ทานอาหารนานกว่า 14 ชั่วโมง จะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนานเกินไป ยิ่งนานเข้าสิ่งที่จับตัวกันนั้นจะกลายเป็นก้อนนิ่ว แต่ถ้าเรากินอาหารเช้าเข้าไป อาหารเช้าจะไปกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกันได้ ด้วย

Credit : kapook.com

เป็นไงบ้างครับ รู้อย่างนี้แล้วเราควรจะกินอาหารเช้านะครับผม อย่างน้อยก็กินอะไรเบาๆให้อิ่มก็ยังดีกว่าไม่กินเลยนะครับ แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

คุณประโยชน์ของน้ำลูกยอ ที่คุณยังไม่รู้



วันนี้มาพบกับประโยชน์ ดีๆจากลูกยอ มารับชมกันเลยครับ
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำลูกยอผสมน้ำผึ้ง
ส่วนประกอบสำคัญ : ใน 1 ช้อนโต๊ะ (15 มิลลิลิตร) ประกอบด้วย น้ำสกัดจากผลและใบยอ 70% v/v มะขามเปียก 5% v/v น้ำผึ้ง 5% v/v เกลือแกง 0.5% w/w ใช้วัตถุกันเสีย
วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ (15-30 มิลลิลิตร) ก่อนอาหาร 30 นาที เช้าและเย็น เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน


คุณประโยชน์ของน้ำลูกยอ
ลูกยอลูกยอ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Morinda Citrifolia Linn มีชื่อภาษาอังกฤษว่า NONI INDIAN MULBERRY เมื่อสุกเต็มที่จะมีเอนไซม์ ที่เป็นประโยชน์อย่างมากมาย ยอ เป็นพืชที่พบขึ้นอยู่หลายประเทศทั่วโลก เช่น ไทย จีน อินเดีย หมู่เกาะแปซิฟิคทางตอนใต้ ตาฮิติ ฮาวาย มาเลเซีย ฯลฯ ในประเทศไทย มีการนำส่วนต่าง ๆ ของยอมาใช้ประโยชน์ อาทิ เช่น รากยอนำมาใช้เป็นสีย้อมผ้าไหม และไหมพรม ใบยอนำมาปรุงอาหาร ผลยอสุกใช้รับประทานได้ และมีการใช้ผสมในตำรับยาโบราณมานานหลายร้อยปี คุณสมบัติ ลูกยอ มีสารสำคัญมากมายถึงกว่า 140 ชนิด ทั้งจำพวกโปรตีน และกรดอะมิโนครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีสารอื่น ทั้งวิตามินและเกลือแร่ มากมาย แต่ที่สำคัญมี สาระสำคัญหน้าที่


คุณประโยชน์ ของ Proxeronineโปรเซโรนีน& EnZymeProxeroninaseเอนไซม์ โปรเซโรเนสXeronine
สารเซโรนีน
- ซ่อมแซมผนังเซลล์ของทุกอวัยวะทั่วร่างกาย- ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ โดยการจับตัวกับกรดอะมิโนในการสร้าง โปรตีนและเสริมการ ทำงานของโปรตีนให้มีคุณภาพสูงสุด- ร่างกายแข็งแรง ประสิทธิ ภาพเต็ม 100%- เร่งการฟื้นตัวของเซลล์ที่เสียหายทั่วร่างกาย รวมทั้งตับอ่อน- ลดระดับน้ำตาลในเลือดของคนไข้เบาหวานเนื่องจากมีการซ่อม แซม ของตับอ่อน- เป็นสารตั้งต้นของ Hormone Melatonin ช่วยในการให้ การนอนหลับเป็นไปอย่างสมดุล- นอนหลับสบาย สะสมพลังงานได้เต็มที่ ตื่นนอนจะสดชื่น- ออกฤทธิ์จับกับตัวรับของสารเอ็นดอร์ฟีน (Endorphin Receptor)- กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว และการสร้าง ภูมิคุ้มกัน (Antibody)- เกิดความรู้สึกที่เป็นสุข และอารมณ์สดชื่น กระปรี้กระเป่า- เพิ่มภูมิต้านทานโรคให้ดี ขึ้นเพื่อต่อต้านเชื้อโรค, ต้านมะเร็ง Scopoletinสโคโปเลติน- ขยายหลอดเลือดโดยตรงและเสริมฤทธ์กับ สารเซโรโตนิน (Serotonin) ในร่างกายในการ ควบคุมการหดและขยายตัว ของ หลอด เลือดแดง – ลดความดันโลหิต- มีผลต่อสมอง และอารมณ์- จิตใจสงบ สดชื่น มีพลัง- ต่อต้านการอักเสบ, ต่อต้านสารภูมิแพ้ (Histamine)- ลดอาการปวด และการอักเสบที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายเช่นปวดศรีษะ, ปวดเก๊าท์, เอ็นอักเสบ ฯลฯ ลดอาการของโรคภูมิแพ้- ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา- ป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา Anthraquinoneแอนทราควิโนน- ควบคุมและยับยั้งเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น STAPHYCOCCUS AUREUS, E. Coli, Salmonella- ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร Damnacathal แดมนาแคทอล- ยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปกติไม่ให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง- ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง- ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง- เพิ่มคุณภาพชีวิตและช่วยให้ผู้เป็น มะเร็งมีอายุยืนยาวขึ้น Terpenesเธอร์ปินส์- ช่วยให้เซลล์ขับถ่ายสารพิษต่าง ๆ ออกไปนอกร่างกาย ชะลอ ความเสื่อมของเซลล์ Phytonutrientsไฟโตนูเทเรียนส์ ได้แก่เบต้าแคโรทีน,ไบโอฟลาโวนอยด์,วิตามินซี, วิตามินอี, ซีลีเนียม- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติมากมายหลายชนิด- ชะลอความเสื่อมของเซลล์, ชะลอความแก่ ป้องกันการตีบตันของ หลอดเลือดแดง, ลดการเกิดโรคหัวใจ, อัมพฤกษ์อัมพาต Dietary Fiberไดเอททารี ไฟเบอร์(ใยอาหาร)- ช่วยจับ โคเลสเตอรอล (Cholesteral), น้ำตาลในเลือด- ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล (Cholesteral) และระดับน้ำตาลใน เลือด Amino Acidsอะมิโน แอซิด- มีกรดอะมิโนถึง 17 ชนิด- สร้างโปรตีน, ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ


การค้นพบสารสำคัญในลูกยอ

ดร.ราฟ ไอเนกี (Dr. Ralph Heinicke) นักชีวเคมีชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง ได้ทำการวิจัยและค้นพบ เอนไซม์ในสับปะรด ซึ่งเป็นอัลคาลอยด์ชนิดหนึ่งเขาตั้งชื่อไว้ว่า เซโรนีน (Xeronine) นับแต่ปี ค.ศ. 1950 และได้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา จนพบว่ามีสารนี้ในลูกยอมากกว่าในสัปปะรดหลายสิบเท่า และได้มีการวิจัยอย่างต่อเนื่อง จนรู้ถึงคุณประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ของน้ำลูกยอ และเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ ดังนี้

1. สร้างเสริมปฏิกิริยาชีวเคมีในเซลล์ให้ดีขึ้น ฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมโทรม ซ่อมแซมเซล์ที่ถูกทำลาย เพิ่มพลังในเซลล์ทำให้มีกำลังและขจัดสารพิษในเซลล์

2. ช่วยสังเคราะห์สารโปรตีนในร่างกาย ทำให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายดีขึ้น และเป็นผลดีต่อต่อมต่าง ๆ ในร่างกายทำให้ทำงานดีขึ้น

3. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และต่อต้านมะเร็ง

4. ลดระดับน้ำตาลในคนไข้เบาหวาน

5. ลดความดันโลหิตสูง

6. ต่อต้านเซลล์มะเร็ง และเสริมภูมิต้านทานโรคโดยการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อต้านเซลล์มะเร็งและเชื้อโรคต่าง ๆ

7. ลดและบรรเทาการอักเสบของเซลล์ ลดและบรรเทาโรคภูมิแพ้

8. มีวิตามิน แร่ธาตุ อะมิโนแอซิด ช่วยเสริมอาหารและเพิ่มพลังงานใน ร่างกาย

9. ระงับความเจ็บปวด และบรรเทาอาหารปวดซ้ำ

10. ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว

11. ป้องกันและลดอาการของโรคภูมิแพ้

ลูกยอไทย จากการวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ลูกยอสามารถช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน และป้องกันมะเร็งได้ โดยในลูกยอจะมีสารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคในร่างกาย และสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งไม่ให้ลูกลาม แต่ไม่ได้รักษามะเร็ง นอกจากนี้มีฤทธิ์แก้ปวดกระตุ้นเอนไซม์ในลำไส้เล็กให้ทำงานดีขึ้น

Credit สภากาชาดไทย

เป็นไงกันบ้างครับพบกับประโยชน์ดีๆ ที่เต็มเปี่ยมไปกับ ลูกยอ ประโยชน์มากมายเลยนะครับผม ลองหามาทานกันดู แล้วพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

เมื่อตื่นสายกันดีนักใช่มั้ย!! มาดู 8 เคล็ดลับที่จะทำให้คุณ "ตื่นเช้า" กัน

วันนี้ก็มาพบกับเรื่องของการตื่นเป็นอะไรที่พูดยากจริงๆ บางคนก็ชอบการตื่นเช้า บางคนไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกก็ตื่นเองได้ แต่บางคนหาวิธียังไงก็ไม่สามารถดึงตัวเองลุกขึ้นจากเตียงได้ เหมียวก็เป็นเหมือนกันแหละ วันนี้เลยมาเสนอ 8 เคล็ดลับ ที่จะทำให้คุณทั้งหลายตื่นเช้ากัน มารับชมกันเลย

wakeup-easy

1. ตั้งปฏิญาณว่าจะตื่นเช้า เดี๋ยวก็ตื่นเอง อันนี้มีงานวิจัยจากเยอรมนีรับรองเลยนะ แต่ต้องนอนให้เพียงพอล่ะ ไม่ใช่ว่าตั้งใจตื่น 6 โมงเช้า ตัวเองนอนตี 4 อย่างนี้ไม่ตื่นแน่ๆ

2. จงเปิดรับแสงแดด นักจิตวิทยากล่าวว่า แสงแดดยามเช้ามีผลต่อการตื่นนอน ดังนั้นย้ายเตียงไปไว้ใกล้หน้าต่างซะ

3. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่ากด “Snooze” สำหรับคนที่ชอบตั้งนาฬิกาปลุกในมือถือนะจ๊ะ รู้ดีว่าปุ่มนี้มันพรากชีวิตเราไปมากแค่ไหน

4. หยิกตัวเอง อันนี้มหาลัยในมิชิแกนได้วิจัยออกมาว่าการหยิกมันทำให้ตื่นจริงๆนะ เจ็บหน่อย ทนเอา

5. ตื่นเวลาเดียวกันทุกๆวัน ร่างกายมันจะปรับสภาพและเรียนรู้ไปเองได้

6. ปรับเสียงนาฬิกาปลุกให้มันนุ่มนวลหน่อย เพราะถ้าใช้เสียงโหดๆมันจะทำให้เราหงุดหงิด นอนต่อ หรือไม่ก็พาลใส่คนอื่นไปทั้งวันได้

7. บิดขี้เกียจสักนิด ลุกขึ้นมาจากเตียง ออกกำลังกาย ยืดเส้ยยืดสายบ้าง

8. เพิ่มความชุ่มชื่น ในขณะที่เราหลับเราจะเสียน้ำไปมาก ดังน้ำควรจะรับน้ำเข้ามาบ้าง เหมียวหมายถึงให้ดื่มน้ำนะ ไม่ใช่เอาน้ำมาราดตัว
ที่มา businessinsider

เป็นไงกันบ้างครับกับ 8 เคล็ดลับที่จะทำให้คุณ "ตื่นเช้า" น่าจะโดนใจใครหลายๆคน ต้องลองกันดูนะครับ อิอิ จะได้ตื่นเช้ากันนะครับ แล้วกับมาพบกันใหม่กับ  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

ทำไมกันนะ ทำไมอยู่ห้องแอร์ ถึงยิ่งหน้ามัน?

เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเราถึงหน้ามัน ในเมื่อเราอยู่ในห้องแอร์ ซึ่งมันน่าจะแห้งไม่น่าจะเกิดหน้ามันได้งั้นเราลอง มาดูกันครับว่าทำไมกัน น๊าาาา ซึ่งหลายคนสงสัยว่าทำไมเวลาเราอยู่ในห้องแอร์แล้วหน้าเราจะยิ่งมันขึ้น คำตอบก็คือ เป็นเพราะเมื่อเราอยู่ในห้องแอร์อากาศจะแห้ง ทำให้ผิวของเราแห้งไปด้วย ผิวจึงขับน้ำมันออกมาเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังนั่นเอง บางคนอยู่ในห้องแอร์ยังไม่เห็น แต่พอออกมาจากห้องแอร์ หน้ามันเยิ้มก็มี

         สำหรับผลเสียของการอยู่ในห้องแอร์ คือ การเกิดอาการผิวแห้ง เพราะว่าเครื่องปรับอากาศนั้น จะปรับเฉพาะอุณหภูมิ ไม่ได้ปรับความชื้นควบคู่กันไปด้วย จึงทำให้ผิวแห้ง บางคนมีผื่นคันขึ้นด้วย

          ถ้าต้องทำงานในห้องแอร์ ก็ควรจะใส่ใจการบำรุงผิว ให้มากขึ้นด้วย ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว และโลชั่น ที่มีความเป็นกรดเป็นด่างใกล้เคียงกับผิว ซึ่งจะช่วยรักษาสมดุลของผิวพรรณตามธรรมชาติ งดการอาบน้ำร้อน หรือน้ำอุ่น ไม่อาบน้ำบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น หลีกเลี่ยงการเช็ดตัวแรง ๆ หลังอาบน้ำให้ใช้โลชั่นเป็นประจำ

         การเติมความชื้นให้อากาศในห้อง อาจเป็นการปลูกต้นไม้ หรือมีตู้เลี้ยงปลา เป็นต้น

ที่มา : smart sme

แบบนี้เองสินะ ที่ทำให้เราหน้ามันแม้ว่าอยู่ในห้องแอร์ แล้วกับมาพบกันใหม่นะครับกับ 
 B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

ทายนิสัยจาก พฤติกรรมการกิน

วันนี้มาพบกับ การทายนิสัยจากพฤติกรรมการกิน....
ใครจะไปคิดว่าแค่การกินจะสามารถทายนิสัยได้เป็นอย่างดี ถ้าอยากรู้ว่าคนใกล้ตัวเป็นคนอย่างไร อย่ารอช้ามาดูกันเลย

ทายนิสัยจากพฤติกรรมการกิน
1. ชอบดื่มน้ำรวดเดียวหมดแก้ว
หรือดื่ม2-3 อึกใหญ่ๆ ก็หมดแก้วแล้ว คือไม่ชอบมานั่งจิบๆ ทีละนิดที ละน้อย อาการประมาณนี้แสดงว่าเขาเป็นคนที่มี ความตรงไปตรงมาสูงมาก ถ้าไม่ชอบก็จะออกอาการ ทางสีหน้าเลย จะไม่มาฝืนยิ้มเป็นอันขาด รักใครก็บอกว่ารัก เมื่อรักแล้วก็รักมั่นคงซะด้วยซี แต่บางทีก็ดุ และใจร้อนไปหน่อยนะ
2. ชอบกัดหลอดดูดน้ำ
เวลาดูดน้ำผลไม้ หรือน้ำอัดลมจากแก้ว ถ้าใครมักจะชอบเผลอกัดหลอดเล่นๆ ทุกทีเลย แสดงว่าเป็นคนขี้เหงาไม่น้อยเลยแหละ บางทีไม่อยากจะไปไหนแต่ถ้าเพื่อนเฮไปก็ขอไปด้วย จิตใจน่ะอ่อนไหวสุดๆ ประมาณว่าเห็นฝนตกเบาๆ ก็รู้สึกเหงาได้เป็นวันๆ แล้วล่ะ แต่จะขี้แย ยังไงก็มี จิตใจดีนะ เอื้ออารีและแคร์คนรอบข้างเสมอ

ทายนิสัยจากพฤติกรรมการกิน
3. ชอบกินผลไม้
เวลาจะกินแอปเปิ้ล หรือฝรั่ง บางคนอาจต้องไปหามีดปอกมาเฉาะให้เป็นชิ้นๆ จะได้กินง่าย แต่บางคนอาจจะชอบกัดลงไปทั้งลูกเลยด้วยความเคยชินจนเป็นนิสัย คนๆนี้น่ะอ่านใจได้เลย ว่าเป็นคนที่มักจะลงความเห็นโดยไม่ไตร่ตรองให้ลุ่มลึกเสียก่อน เป็นคนตัดสินใจเร็วๆ ง่ายๆ ไม่ค่อย รอบคอบ ความอดทนก็มีน้อยมาก แต่ก็เป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ ติดดินได้ รอมชอมเป็น ไม่ค่อยอยากชิงดี ชิงเด่นกับใครเขาหรอกนะ
4. ชอบกินก๋วยเตี๋ยวมากกว่าข้าว
คนๆนี้น่ะมีความสดใสน่ารักอยู่ในตัวเสมอ แต่หลายๆ ครั้งที่ทำให้เพื่อนๆ สุดเซ็งได้กับความสุดจะดื้อ และแสนจะเอาแต่ใจตัวเอง แม้จะเป็นคนที่เน้นความสวย ความหล่อ มาก่อนเป็นอันดับ 1 แต่ถ้ารู้จักระนีประนอมให้มากขึ้น ดื้อให้น้อยลงก็จะมีเสน่ห์กว่านี้เป็นแน่แท้

ทายนิสัยจากพฤติกรรมการกิน
5. ชอบใส่เครื่องปรุงสารพัด
ไม่ว่าจะไปกินอะไรที่ไหนคงยากที่จะตักของกินใส่ปากทันทีเหมือนชาวบ้าน เพราะคนแบบนี้จะต้องวุ่นวายกับพนักงานเสิร์ฟอยู่นานสองนาน ประมาณว่า ขอน้ำปลาพริกหน่อย ขอซอสมะเขือเทศ ขอซอสพริก ขอแม็กกี้หน่อย ขอมะนาวอีกนิด พริกป่นอีกหน่อย อะไรทำนองนี้ ทาย ใจได้เลยว่าคนๆ นี้น่ะไม่ธรรมดา เวลาจะยิงมุขตลกก็จะตลกกว่าใครๆ แบบว่าตลกโหดซะด้วยซี หัวเราะไปต้องขนลุกไปด้วย แต่เขาเป็นคนมีไอเดียเก๋ไก๋สุดฤทธิ์เลยนะ ใครอยู่ใกล้ๆ รับรองไม่เบื่อ เพราะมีแต่เรื่องเร้าใจเสมอเลยเชียว

ทายนิสัยจากพฤติกรรมการกิน
6. ชอบใช้สองมือกุมถ้วยกาแฟ
ท่าทีประมาณนี้เป็นทีท่าของคนที่มีหัวใจสุดแสนจะโรแมนติกแบบว่า ถ้าชวนแฟนมาบ้านก็คงต้องจุดเทียนบนโต๊ะกินข้าวด้วยนั่นแหละ คนอารมณ์นี้น่ะรักง่ายหลงง่าย ขี้น้อยใจแต่ก็รักเพื่อน และมีน้ำใจมากเลยนะ
7. ชอบดูดตะเกียบเวลากินก๋วยเตี๋ยว หรือข้าวต้มกุ๊ย
ถ้าใครมีอาการแบบว่าเผลอดูดปลายตะเกียบอยู่เรื่อยๆ เชียว แสดงว่าคนๆ นั้นน่ะเป็นคนขี้ระแวงระวังมาก น้อยใจเก่ง แถมขี้หึงเป็นที่ 1 อีกต่างาก ถ้ารักใครแล้วจะทุ่มเทมากจนถึงมากที่สุด

ทายนิสัยจากพฤติกรรมการกิน
8. ชอบกินไข่แดงของไข่ดาวก่อน
พวกชอบเจาะไข่แดงก่อนเนี่ยนะเป็นคนรักอิสระมาก หัวนอกคอกอีก ต่างหาก แบบว่ามีความคิดขบถๆ ไม่ค่อยจะคล้อยตามกระแสโลก ชอบต่อต้าน ไม่ชอบให้ใครมาบงการ แต่บางทีตัวเองก็เผด็จการเหมือนกัน ลึกๆ ในใจน่ะอ่อนไหวนะ ชอบสัตว์เลี้ยง ชอบบันเทิงเริงรมย์ แล้วก็ช่างติช่างวิเคราะห์น่าดู
9. ชอบกินไข่ขาวของไข่ดาวก่อน
คนที่เหลือไข่แดงไว้กินทีหลังส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักพูดจาดี มีหลักการเสมอ ใช้สมองมากกว่าอารมณ์ ในจิตใจน่ะดีเสมอ แต่บางทีก็ชอบแสดงออกแบบนิ่งๆ หรือหยิ่งๆ ไปบ้างจนคนรอบข้างคิดว่าขาดความอ่อนโยนไปหลายขีดเหมือนกันนะ
10. ไม่ชอบปรุง
บางคนกินข้าวกะเพราแบบไม่ง้อน้ำปลากินก๋วยเตี๋ยวราดหน้า-ผัดซีอิ๊ว ก็ไม่ใส่พริกน้ำส้มพริกป่นน้ำตาล คนประมาณนี้มักมีอารมณ์ศิลปินจัด อารมณ์ปรวนแปรง่าย รักอิสระสูงมาก ดูเหมือนเป็น คนง่ายๆ สบายๆ แต่จริงๆ แล้วค่อนข้างเข้มงวด และเจ้าระเบียบสุดเดชทีเดียวเชียว เป็นคนสุดโต่ง แบบว่าเวลาหวานก็หวานจัด เวลาโมโหก็น่ากลัวจัดเหมือนกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.unigang.com

เป็นไงครับกับนิสัยต่างๆ ที่สามารถรู้ได้จากนิสัยจากพฤติกรรมการกิน แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ 
 B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

รู้หรือไม่ อาหารอะไรบ้างที่ย่อยยาก ?



วันนี้มาพบกับเรื่องราวของอาหารที่คุณยังไม่รู้ ว่ากันว่ามันนั้นย่อยยาก คุณคิดว่ามันย่อยยากจริงหรือ หรือแค่เป็นแค่เค้าบอกกันเฉยๆ ลองมารับชมข้อมูลกันดูครับกับ รู้หรือไม่ อาหารอะไรบ้างที่ย่อยยาก ?

1. น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม 
เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้หลอดอาหารระคายเคือง แถมปริมาณกรดมากมาย อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น
2. ช็อกโกแลต ส่วนใหญ่แล้วปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะคุณกินช็อกโกแลต แต่เป็นเพราะว่าคุณกินมากเกินไปต่างหาก หากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) ช็อกโกแลตอาจเป็นปัญหาสำหรับคุณได้แม้ในปริมาณนิดเดียว นี่เป็นเพราะช็อกโกแลตทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายออก กรดในกระเพาะก็จะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้
3. บร็อกโคลี่ และกะหล่ำปลีดิบ จริงอยู่ที่ผักเหล่านี้มีทั้งใยอาหาร สารอาหาร และก็ดีต่อสุขภาพของคุณมากๆ แต่พวกมันก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ ทางแก้นั้นง่ายมาก เพียงนำมาปรุงอาหารให้ผ่านความร้อนหรือแม้แต่ลวกเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยสลายสารซัลเฟอร์ที่ทำให้เกิดแก๊สได้แล้ว
4. มันบดและไอศกรีม หน้าตาเหมือนเป็นของย่อยง่าย แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกกระเพาะปั่นป่วน เริ่มมีอาการท้องอืดมีแก๊สในกระเพาะเยอะ และเริ่มผายลมจนห้ามไม่ได้ นั่นล่ะคือสัญญาณบอกว่าร่างกายของคุณอาจแพ้แล็กโตส และต่อให้คุณปกติดี การกินไอศกรีมหรือมันบดที่มีครีมเยอะๆ ก็อาจเป็นปัญหาอยู่ดี เนื่องจากมันมีไขมันสูง และไขมันก็ย่อยยาก จึงอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าอาหารอื่นๆ
5. นักเก็ตไก่ ทุกครั้งที่คุณคลุกอาหารเข้ากับแป้งแล้วนำไปทอด คุณได้เปลี่ยนอาหารชิ้นนั้นให้กลายเป็นของย่อยยากที่สุด โดยของทอดมักจะมันและมีไขมันสูง ซึ่งทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับกระเพาะของเรา
6. หัวหอมดิบ หัวหอมนั้นมีไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งบางชนิดให้คุณแก่สุขภาพและดีต่อหัวใจของคุณ ส่วนบางชนิดจะทำให้ปวดท้อง ถ้าให้ดีจึงควรกินหัวหอมดิบผสมกับหัวหอมที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า
7. ถั่ว เป็นที่ทราบกันดีกว่าการกินถั่วมากจะทำให้ผายลม สาเหตุเนื่องมาจากเอนไซม์ที่ย่อยถั่วได้นั้น จะพบได้ในเฉพาะแบคทีเรีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในกระเพาะอาหาร และถ้าคุณไม่กินถั่วเป็นประจำ คุณอาจมีเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อการย่อยถั่ว ผลก็คือจะเกิดแก๊สแล้วท้องก็จะอืด
8. หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล Sorbitol คือสารชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นส่วนประกอบในขนมหวานสูตรไม่มีน้ำตาล เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม มันอาจเป็นสาเหตุของแก๊สในกระเพาะอาหาร ดังนั้น ก่อนจะซื้อหมากฝรั่งมาเคี้ยวก็ลองพลิกฉลากมาดูก่อน หากมี Sorbital มากกว่า 10 กรัม นั่นก็แสดงว่ามันยากต่อการย่อยแน่ๆ
Credit: วิชาการ.คอม

เป็นไงครับกับ 
รู้หรือไม่ อาหารอะไรบ้างที่ย่อยยาก หวังว่าจะเป็นความรู้ให้แก่ทุกท่านนะครับผมแล้วพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

เมื่ออาการคันผม มาเพราะฝนตก...

วันนี้ก็มาพร้อมกับเรื่องราวของอาการคันเวลาเราออกไปโดนฝนซึ่งเมื่อถึงคราวหน้าฝนมาเยือน สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือ การเปียกฝน ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม และสิ่งที่ตามมาก็คืออาการคันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอาการคันศีรษะที่ยิ่งเกาก็ยิ่งมัน ต่อไปนี้คือวิธีรับมือกับอาการที่ว่าอย่างง่ายที่สุด เพื่อให้เส้นผมของเราหลบฝนได้ทันท่วงที

           1. เมื่อฝนตกควรสระผมให้สะอาด การเช็ดผมให้แห้ง หรือปล่อยให้แห้งนั้นไม่เพียงพอควรทำความสะอาดผมด้วยน้ำสะอาดและแชมพู เพราะฝนที่ตกมาจะนำพาเอาเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสมาด้วย ถ้าเราหมักน้ำฝนไว้บนศีรษะ เราก็จะเป็นหวัดจากการติดเชื้อไวรัส การเลือกแชมพูสระผมที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา หรือเชื้อ P.ovale (เช่น Ketoconazole) ก็เป็นการป้องกันรังแคและการติดเชื้อราที่หนังศีรษะได้อีกทางหนึ่ง

 

           2. หลังสระผมเสร็จ ควรเช็ดผมให้แห้งทุกครั้ง ไม่ควรนอนในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ เพราะอาจทำให้หนังศีรษะชื้นและเกิดเชื้อราบนหนังสือศีรษะได้

 

           3. การสระผมบ่อยๆ อาจทำให้เส้นผมของคุณแห้ง กระด้าง แต่ในหน้าฝนแบบนี้การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอ่อน ๆ จากธรรมชาติและเหมาะกับสภาพเส้นผม จะช่วยให้หนังศีรษะของคุณสะอาด ไร้กลิ่นอับชื้น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยบำรุงเส้นผม และหนังศีรษะให้มีสุขภาพดียิ่งขึ้น โดยไม่ต้องหวั่นว่าการสระผมทุกวัน จะเป็นการทำร้ายเส้นผมสวยๆ อีกต่อไป

 

           4. ปัญหาผมเปียกชื้นจากละอองฝนอาจทำให้คุณสาวๆ ต้องเป็นกังวล เพราะนอกจากปัญหาเรื่องกลิ่นอับชื้นแล้ว เมื่อเวลาผมเริ่มแห้งมันจะชี้ฟู หรือไม่ก็ลีบแบน แนะนำให้พกไดร์เป่าผมตัวจิ๋วไว้ในกระเป๋าหรือที่ทำงานไว้สักอัน นอกจากจะได้ผมสลวยอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ยังเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นหวัดได้อีกด้วย โดยเวลาเป่าผมควรเริ่มเป่าจากบนลงล่าง จะช่วยให้เกล็ดผมเรียงตัวตามธรรมชาติ สวยเรียบเงางาม ไม่ชี้ฟู และบำรุงด้วยเซรั่มหรือแฮร์โค้ท หลังจากไดร์ผมเรียบร้อยก็ลงเซรั่มให้ผมจัดทรงง่ายและเรียบสวยเป็นอันจบขั้นตอน

 

           5. หน้าฝนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะลองเปลี่ยนทรงผมดูบ้าง อาจจะตัดให้เหมาะกับการมัดรวบเพื่อความสะดวกสบายยามโดนฝนกระหน่ำใส่เส้นผม

 

           6. อย่านอนตอนผมเปียกเด็ดขาด สิ่งแรกที่ควรทำคืออาบน้ำและสระผมให้สะอาด และต้องเช็ดผมให้แห้งก่อนเข้านอนด้วย มิฉะนั้นแล้วเชื้อราจากความเปียกชื้นของเส้นผมจะมาก่อตัวจับกลุ่มกันที่บริเวณหนังศีรษะ ถ้าปล่อยไว้นานๆ ความชื้นจะแพร่กระจายไปยังหมอนหนุนศีรษะและกลายเป็นเชื้อรามารังควานศีรษะ ต่อด้วยอาการหนังศีรษะมีกลิ่นเหม็นอับ คัน และมีรังแค รากผมไม่แข็งแรงท้ายที่สุดผมก็จะเปราะบาง ขาดประกายเงางาม และหลุดร่วงไปในที่สุด

 

           7. ว่างๆ ควรหาเวลาบำรุงผมด้วยการหมักผมบ้าง หรือเติมสารอาหารให้ผม ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมวิตามินเอถึงอี เช่น ไข่ กล้วย นม ข้าวกล้อง อาหารทะเล ผักใบเขียว และผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย ซึ่งถ้าได้รับอย่างเพียงพอ น้ำมันตามธรรมชาติจากหนังศีรษะก็จะช่วยบำรุงหล่อเลี้ยงเส้นผมให้เป็นประกายเงางามตามธรรมชาติ ไม่แห้งกรอบ บำรุงหนังศีรษะให้มีสุขภาพดี ไม่มีรังแคมากวนใจอีกต่อไป

 

สูตรลับสู้ฝน

           หมักผมด้วยน้ำมันมะกอก 10 นาที ก่อนสระจะช่วยให้ผมเรียบและชุ่มชื่น ป้องกันการชี้ฟู

           ผมที่โดยฝนมักจะมีความเหนียว ให้ใช้นิ้วมือสางเบา ๆ ดีกว่าการใช้หวีที่อาจทำให้ผมขาดได้

           หลีกเลี่ยงการใช้เจล มูส ครีมจัดแต่งทรงผมรวมทั้งการดัด ยืด ย้อม เพราะฝนอาจจะทำให้ความสวยที่ตั้งใจไว้กลายเป็นหายนะในชั่วพริบตา


ขอบคุณภาพจาก : www.goosiam.com

ผมอยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะครับ แล้วกับมาพบกันใหม่กับ 
B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

พบกับสุดยอดอาหารเคล็ดลับอ่อนเยาว์



หากพูดถึงอายุหลายๆคนก็บอกว่าอย่าพูดถึงมันเลยใครๆก็อยากให้อายุเป็นเพียงตัวเลขไม่อยากให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆโดยที่เราไม่มีผลกระทบแต่ความ จริงแล้ว เราก็สามารถดูแลตัวเองได้ด้วย อาหาร ซึ่งการกินนี้เป็นตัวช่วยที่จะทำให้ผิวพรรณหน้าตาไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อยากรู้แล้วละซี้ ว่ามีอะไรบ้างงั้นเราไปพบกับสุดยอดอาหารเคล็ดลับอ่อนเยาว์ กันเลยครับผม

          น้ำสะอาด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกาย เซลล์ผิวหนังต้องการความชุ่มชื้นเพื่อดำรงความแข็งแรงอ่อนเยาว์ให้ผิวหน้า หากอยากมีสุขภาพผิวดี ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเสียเหงื่อมากอาจต้องการมากกว่านั้น

          ปลาแซลมอน อุดมไปด้วยโอเมกา 3 โอเมกา 6 ซึ่งเป็นผลดีสำหรับหัวใจ และยังช่วยรักษาโรคผิวหนัง ผิวแห้ง ช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์สดใส กรดไขมันและสารต้านอนุมูลอิสระในแซลมอนคือกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพผิว

          จมูกข้าว อุดมไปด้วยวิตามิน บี วิตามิน อี ซีลีเนียม ซึ่งช่วยในการชะลอการเสื่อมของเซลล์ ต่อสู้กับริ้วรอยแห่งวัย นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง และเพิ่มประสิทธิภาพครีมบำรุงผิวให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น 

 

          ผักและผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามิน เอ และซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน ซี ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนช่วยให้ผิวตึงกระชับและมีเลือดฝาด โดยเฉพาะมันฝรั่งหวานและแครอตซึ่งอุดมไปด้วยเบตาแคโรทีนช่วยลดเลือนริ้วรอย แห่งวัย และต่อสู้กับอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็ง

          บลูเบอร์รี อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและต้านมะเร็ง สารไฟโตเคมิคอลในบลูเบอร์รีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บลูเบอร์รีมีความพิเศษ เนื่องจากสารนี้มีคุณสมบัติพิเศษในการลดผลกระทบจากบุหรี่ ควันพิษ และสารเคมีรอบด้าน ซึ่งเป็นการปกป้องผิวพรรณโดยธรรมชาติ

          แม้ว่าคุณจะดูแลผิวพรรณได้ดีอยู่แล้ว แต่อาหาร 5 ชนิดที่กล่าวมาจะยิ่งช่วยให้การดูแลผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากอาหารทั้ง 5 ชนิด มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ผิวหน้ามีสุขภาพดี แข็งแรง พอที่จะต่อสู้มลพิษที่เราต้องเผชิญทุกวัน

          การศึกษาเกี่ยวกับอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้การดูแลผิวพรรณเป็นไปได้ง่ายขึ้น การระวังและตระหนักถึงตัวการริ้วรอยแห่งวัยไม่เคยให้ผลเสีย ในทางตรงกันข้าม สารอาหารที่เราได้รับไม่เพียงทำให้ผิวพรรณกระจ่างใส มีสุขภาพดี แต่ยังช่วยส่งเสริมให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้นด้วย ว่าแล้วก็ลองเปิดตู้เย็นเช็กดูหน่อยซิว่า เย็นนี้เรายังขาดอะไรที่ต้องไปซื้ออีกบ้าง

ขอบคุณภาพจาก : www.warakuthailand.com

เป็นไงครับกับ
สุดยอดอาหารเคล็ดลับอ่อนเยาว์ เห็นแล้วหลายๆคนอย่าลืมไปหามารับประทานกันนะครับ อย่างที่เคยมีคนกล่าวไว้น่ะครับ you are what you eat  แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

นอนดึก ! พฤติกรรมทำคนแก่เร็ว!

เชื่อว่าหลายๆคนก็ชอบนอนดึกใช่ไหมละ สมัยนี้ เวลาไม่ค่อยพอมีหลายสิ่งที่อยากทำ แต่ว่าถ้าเรานอนดึกเป็นประจำจะทำให้เราแก่เร็วลองมาดูข้อมูลกันดูนะครับ

การนอนดึก

          ก่อนอื่นเลย คือ การนอนดึก ไม่ว่าจะไปเที่ยวมา ทำงานเลิกช้า ติดซีรีย์ หรือดูฟุตบอลก็ตาม การนอนดึกนั้นทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นแล้วจะยิ่งทำให้เกิดโรคร้ายอื่น ๆ ได้อีก เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เพราะคนนอนดึกก็มักจะหิว ยิ่งง่ายต่อการทานกลางคืนค่ะ

 

สูบบุหรี่และกินเหล้า

          อันนี้แน่นอนอยู่แล้วว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นผลเสียกับอวัยวะภายในและภายนอกของร่างกาย เพราะปอดและตับจะทำงานหนัก เป็นผลให้แก่เร็วและเป็นมะเร็งตามมา เพราะฉะนั้นเราจึงควรลด ละ และเลิกซะตั้งแต่ตอนนี้นะคะ เพื่อสุชภาพที่ดีของเรา

 

ชอบทานแต่ไขมัน

          เพราะไขมันและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็ง ที่จะทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตได้ มิหนำซ้ำยังอ้วนอีกนะ

 

มีความเครียดจัด

          เพราะหากมีความทุกข์ ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่วยในการเจริญเติบโตของมะเร็งได้อย่างดีทีเดียว นอกจากจะเป็นเรื่องของมะเร็งแล้ว ความเครียดนั้นจะบั่นทอนในทุกการกระทำของเราอีกต่างหากนะคะ มีผลไปถึงหน้าหมองคล้ำดำเสีย ไม่สดใสอีกด้วย

 

ร่างกายขาดวิตามิน

          เพราะวิตามินต่าง ๆ จะทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งได้อย่างดี แล้วหากร่างกายขาดวิตามินเหล่านี้ ก็จะไม่มีอะไรสู้กับมันได้ เพราะฉะนั้นควรหมั่นรับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินให้เข้าสู่ร่างกายเป็นประจำ

 

 ทานของร้อนจัดเกินไป

          อย่างการซดชาร้อน หรือกาแฟร้อนนั้น จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบ และเมื่ออักเสบแล้วก็มีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างนั้นแล้ว ควรหลีกเลี่ยงและควรรอให้ของร้อนแล้วนั้น อยู่ในระดับที่พออุ่นค่ะ

 

กลั้นปัสสาวะ

          น้ำปัสสาวะเป็นของเสีย ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้น มันจะทำให้กระเพาะปัสสาวะของเราสะสมสิ่งเน่าเสียเหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งได้ แล้วยังทำให้เราเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีกด้วย

 

ชอบทานรสเค็ม

          สิ่งมีชีวิตที่กินอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเต็ม เนื้อแห้ง เป็นต้น ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชอบทานเค็มให้ลดน้อยลง ก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ

 

ตากแดดบ่อยเกินไป

          แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นได้ อย่างนั้นแล้วจึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแดดที่แรงจัด หาวิธีป้องกันโดยการทาครีมกันแดด ใส่เสื้อผ้าปกคลุมก็ได้นะ

 

ขอบคุณภาพจาก : blog.janthai.com

รู้แบบนี้แล้วก็อย่านอนดึกกันมากนะครับ รักษาสุขภาพแล้วอย่าลืมดูแลผิวอายุเราด้วยนะครับ 
แล้วกับมาพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

พบกับ 7 ประโยชน์จากน้ำอัดลมที่คุณไม่เคยรู้!

วันนี้ลองมาพบกับประโยชน์ของ น้ำอัดลม ที่คุณอาจจะไม่รู้ว่า จริงๆแล้วน้ำอัดลมมันก็มีประโยชน์ของมันเองอยู่ในตัวลองไปพบกับข้อมูลได้เลยครับ

แม้คุณจะเคยได้ยินมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าน้ำอัดลมนั้นมีแต่โทษและไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆเลยแม้แต่น้อยวันนี้เราขอปฏิเสธอย่างหนักแน่นด้วยเสียงแข็งๆเลยว่า น้ำอัดลมนั้นยังมีข้อดีอีกหลายๆ อย่างที่คุณอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน ซึ่งข้อดีที่ว่ามานี้จะเกี่ยวกับอะไรบ้างนั้น วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำอัดลมมาฝากกัน ซึ่งรับรองได้เลยว่า ต้องมีหลายๆ ข้อที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กันได้อย่างแน่นอน


1. ช่วยทำความสะอาดไขมันบนเสื้อผ้า
หากชุดเดรสสวยๆ หรือ กระโปรงทำงานตัวโปรดของคุณต้องเปื้อนคราบมันหรือตะกรันต่างๆลองผสมผงซักฟอกเข้ากับน้ำอัดลม1กระป๋อง แล้วซักด้วยเครื่องซักผ้าตามปกติ น้ำอัดลมจะช่วยสลายคราบมันและตระกรันบนชุดสวยๆ ให้คุณได้แน่นอน ที่สำคัญอย่าลืมใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มให้อีกรอบนะคะ เสื้อผ้าของคุณจะได้มีกลิ่นหอมๆ แทนกลิ่นซ่าๆ ไปในคราวเดียวค่ะ
2. ช่วยทำความสะอาดสุขภัณฑ์ห้องน้ำ
แค่คุณใช้น้ำอัดลมสูตรปราศจากน้ำตาลเทไว้ให้ทั่วพื้นห้องน้ำและสุขภัณฑ์ทิ้งไว้ประมาณ1ชั่วโมงหลังจากนั้นใช้แปรงขัดห้องน้ำขัดถูแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง แค่นี้ห้องและสุขภัณฑ์ของคุณก็จะสะอาดใสกิ๊งเลยล่ะ
3. ขจัดคราบสนิม
หากชุดกันชนโครเมี่ยมของคุณเกิดเป็นจุดสนิมขึ้นมาเมื่อไรอย่าปล่อยให้มัยลุกลามไปได้รีบใช้อะลูมินั่มฟรอยด์ชุบน้ำอัดลมและขัดเบาๆตรงจุดที่เป็นสนิมรับรองได้เลยว่าคราบจะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย
4. ช่วยคลายน็อตที่ขึ้นสนิมจนไขไม่ออก
ถ้าคุณต้องการจะไขน็อตออกจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆแต่น็อตตัวนั้นเต็มไปด้วยสนิมเขรอะให้คุณใช้ผ้าชุบน้ำอัดลมให้ชุ่มแล้วประคบน็อตตัวนั้นไว้สักครู่น้ำอัดลมจะช่วยกัดกร่อนสนิมบริเวณนั้นให้ไขน็อตออกได้อย่างง่ายดาย
5. ช่วยเปิดจุกฝาขวด
ถ้าหากจุกฝาขวดของคุณมันแน่นเกินไปจนเปิดไม่ออกให้คุณใช้ผ้าชุดน้ำอัดลมประคบไว้สักครู่หนึ่งน้ำอัดลมจะช่วยทำให้ฝาขวดคลายตัวและเปิดออกได้ง่ายยิ่งขึ้น
6. เพิ่มรสชาติให้กับแฮม
หากคุณอยากให้การทอดแฮมนั้นอร่อยยิ่งขึ้นลองเทน้ำอัดลมลงในกระทะแทนน้ำมันแล้วห่อแฮมด้วยฟรอยด์ใส่ลงในกระทะต้มในน้ำอัดลมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วจึงเอาฟรอยด์ออกเพื่อให้แฮมได้คลุกเคล้ากับน้ำอัดลมที่ยังเหลืออยู่ในกระทะ รับรองได้เลยว่าแฮมของคุณจะมีรสชาติที่อร่อยยิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
7. ทำความสะอาด.....รถบรรทุก
ทราบกันไหมว่าน้ำอัดลมนั้นถูกใช้ในการทำความสะอาดรถบรรทุกมาเป็นระยะเวลากว่า20ปีแล้วก่อนที่เด็กวัยรุ่นบางคนจะรู้จักกับน้ำอัดลมเสียอีก!!!
เห็นหรือยังว่า น้ำอัดลมนั้นมีประโยชน์อีกมากมายที่คุณไม่เคยรู้เลย
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ยังไม่พบประโยชน์ต่อร่างกายของเราเลยสักข้อหนึ่ง ฉะนั้นแล้วคุณควรจะทานต่อไปหรือใช้เพื่อประโยชน์ตามที่เราแนะนำมา...?!?

ฮาๆๆ เป็นไงครับกับประโยชน์ของมัน แต่ผมว่าไม่ค่อยมีประโยชน์กับเราสักเท่าไหร่เลยนะครับ ฮาๆๆ แล้วกับมาพบกันใหม่กับ

 B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

คลายความเมื่อยล้าดวงตาด้วย 6 ท่าบริหารดวงตา

วันนี้ก็มาพบกับการ คลายความเมื่อยล้าดวงตาด้วย 6 ท่าบริหารดวงตา  เป็นวิธีที่จะช่วยบริหารดวงตาและผ่อนคลายดวงตาของทุกคนที่ใช้สายตามากๆ อย่างอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายๆชั่วโมง 6 วิธีนี้ช่วยได้มากจริงๆครับ ผมได้ลองทำตามดูแล้ว มาลองทำกันดูนะครับกับวิธีต่อไปนี้

1. ประคบดวงตาด้วยฝ่ามือ
          
          ท่าแรกเริ่มกันง่าย ๆ ในขณะที่คุณนั่งทำงานอยู่ แล้วรู้สึกล้าสายตาขึ้นมาให้ถูฝ่ามือทั้งสองข้างพอให้เกิดความร้อนหน่อย ๆ จากนั้นหลับตา แล้วทำมือเป็นรูปทรงคล้ายถ้วย มาประคบดวงตาทั้งสองข้างทิ้งไว้สักครู่ ให้ไออุ่นจากฝ่ามือคลายกล้ามเนื้อบริเวณดวงตาที่เครียดเกร็งจากการเพ่งจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ


 2. กะพริบตาทุก 4 วินาที
          
          สาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเพลียสายตา และทำให้ตาแห้งแสบก็เป็นเพราะเราไม่ยอมกะพริบตานั่นเอง ยิ่งในขณะที่ใช้สมาธิทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะลืมกะพริบตาโดยไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตาแห้ง จนต้องเพ่งสายตาทำงานมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญก็แนะนำให้คุณกะพริบตาทุก ๆ 4 วินาที รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมกะพริบตากันด้วยนะจ๊ะ


 3. กลอกตาทุก ๆ ชั่วโมง
          
          อีกท่าบริหารสายตาง่าย ๆ เพียงแค่หลับตา แล้วกลอกตาเป็นวงกลมประมาณ 1 นาทีเป็นอย่างต่ำ นอกจากจะเป็นการพักเบรกสายตาจากแสงและรังสีของคอมพิวเตอร์แล้ว ท่าบริหารท่านี้ยังเหมือนการนวดดวงตาให้คลายความเกร็งเครียดได้อีกด้วยนะ อ้อ ! แต่ถ้าอยากผ่อนคลายขึ้นอีกขั้น ลองเงยหน้าแล้วหมุนคอเป็นวงกลมด้วยก็จะรู้สึกสบายสุด ๆ ไปเลยจ้า


 4. กวาดสายตาระยะไกล

          ในขณะที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และกำลังมีสมาธิเพ่งเนื้อหางานที่ทำอยู่ บางทีเราก็ไม่รู้ตัวว่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้จอมากแค่ไหน ซึ่งการที่เราใช้สายตาในระยะใกล้ ๆ แบบนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่พาให้สายตาล้าและเพลียมาก ๆ เช่นกัน

          ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า ให้คุณช่วยบำรุงสายตาด้วยการถอยห่างออกจากจอคอมพิวเตอร์เท่าที่จะเป็นไปได้ และปรับระยะโฟกัสสายตาด้วยตัวเองบ่อย ๆ โดยวิธีก็แค่ถอยออกไปอยู่หน้าประตูห้อง หรือมุมไหนของห้องก็ได้ที่จะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมของห้องกว้างที่สุด แล้วกวาดสายตามองสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในห้องเป็นแนววงกลม อาจจะไล่มองจากทีวี โซฟา โต๊ะทำงาน หน้าต่าง โมบาย หรืออื่น ๆ เป็นต้น แค่นี้ก็เหมือนได้ยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อตาได้เยอะแล้วล่ะ

 5. ละสายตาไปมองอย่างอื่นทุกชั่วโมง
          
          การใช้เวลาเพ่งสายตาอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินหนึ่งชั่วโมง ก็ทำให้เกิดความเมื่อยล้าตาได้ง่าย ๆ เช่นกัน ฉะนั้นอย่างน้อยทุก ๆ 1 ชั่วโมง คุณควรละสายตาจากหน้าจอไปมองอย่างอื่นบ้าง หรือลุกออกไปเดินเล่นสักพัก ถือโอกาสขยับแข้งขาไล่ความปวดเมื่อยไปด้วยซะเลย


 6. ซิทอัพดวงตา
          
          ในคราวที่รู้สึกปวดตาจนร้อนกระบอกตาผ่าว ให้คุณหลับตาลงแล้วเหลือบตาขึ้น-ลงสักพัก จากนั้นลืมตาขึ้นแล้วกวาดสายตามองผ่าน ๆ ประมาณ 1 นาที เสร็จแล้วเริ่มยกใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ให้หลับตาแล้วเหลือบตาไปด้านซ้าย-ขวา ประมาณ 1 นาที จากนั้นลืมตาขึ้น แล้วมองผ่าน ๆ อีกรอบ เว้นระยะห่างสัก 2-3 นาที แล้วเริ่มบริหารตาใหม่อีกครั้ง หรือจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น

เป็นไงกันบ้างครับกับ 6 ท่าวิธีบริหารดวงตาที่สามารถช่วยผ่อนคลายดวงตาในวันที่ใช้สายตามากๆ อย่าลืมลองทำกันดูนะครับผม แล้วพบกันใหม่กับ 
B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

B-Healthy กับเรื่องของผู้หญิง ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้

วันนี้มาพบกับเรื่องของผู้หญิงที่ใครหลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ ลองรับชมข้อมูลกันดูครับว่า มีเรื่องอะไรบ้างที่เราไม่รู้เกี่ยวกับผู้หญิง ^_^

1. ผู้หญิงจมูกไว สามารถรับรู้กลิ่นได้ดีมาก

          ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ จะมีความสามารถในการรับรู้กลิ่นได้ดีกว่าเพศชาย และผู้หญิงในวัยอื่น ๆ ซึ่งอาจจะมีผลมาจากฮอร์โมนที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงในร่างกาย จึงทำให้ผู้หญิงในช่วงวัยเจริญพันธุ์จับกลิ่นและแยกแยะกลิ่นต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะกลิ่นของคนที่คุ้นเคย หนุ่ม ๆ ทั้งหลายต้องระวังกันแล้วล่ะ

 

2. ผู้หญิงดื่มไม่เก่งเท่าผู้ชาย

      ร่างกายของผู้หญิงไม่มีเอนไซม์สำหรับย่อยแอลกอฮอล์เหมือนที่ร่างกายผู้ชายมี อีกทั้งยังร่างกายของผู้หญิง ยังมีความสามารถในการระบายแอลกอฮอล์ได้ต่ำด้วย ดังนั้นหากคุณท้าดื่มกับพวกผู้ชาย ในปริมาณแอลกอฮอล์เท่า ๆ กัน ก็คงต้องแพ้ราบคาบอย่างแน่นอน เพราะระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของคุณผู้หญิงจะพุ่งสูงกว่า

 

3. ผู้หญิงจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้มากกว่าผู้ชาย
          
          การศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ดเผยว่า หากผู้หญิงและผู้ชายเจ็บป่วยด้วยโรคเดียวกัน ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเพศชาย เนื่องมาจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง ที่มีส่วนกระตุ้นความเจ็บปวดระดับขีดสุดให้เพศหญิง ยิ่งระดับเอสโตรเจนในร่างกายพุ่งสูง ความเจ็บปวดก็จะรุนแรงขึ้น

 

4. ต่อมน้ำตาผู้หญิงใหญ่กว่าผู้ชาย
          
          จากผลสำรวจจะเห็นได้ว่า ผู้หญิงร้องไห้คิดเป็นอัตราส่วน 5.3 ครั้งต่อเดือน แต่ผู้ชายกลับร้องเพียงแค่ 1.4 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งเป็นความถี่ที่ต่างกันมากเลยทีเดียว แต่นอกจากเหตุผลด้านสถานภาพทางสังคมที่ทุกคนคุ้นเคย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ยังเผยว่า ต่อมน้ำตาของผู้หญิงมีความแตกต่างจากต่อมน้ำตาของผู้ชาย อีกทั้งฮอร์โมนโปรแลคติน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการสร้างน้ำนม ก็ยังเป็นหน่วยเสริมคอยสร้างน้ำตาให้ผู้หญิงอีกด้วย เพศหญิงในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป จึงมีแนวโน้มจะหลั่งน้ำตาได้มากกว่าเพศชายถึง 50-60%

 

5. ผู้หญิงใช้สมองทั้ง 2 ซีก ในการฟัง
          
          นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินเดียนาใช้เครื่อง MRI ตรวจสอบการทำงานของสมองในขณะที่ผู้ชายและผู้หญิงได้ฟังการบรรยายและพบว่า ผู้ชายส่วนใหญ่จะตอบสนองด้วยการใช้สมองซีกซ้าย ซึ่งเป็นซีกที่เกี่ยวข้องกับการฟังและการพูด ในขณะที่ผู้หญิงตอบสนองต่อข้อความที่ได้ยินด้วยสองซีกขวา ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์และการแสดงออกด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากผู้หญิงจะสามารถโต้ตอบกับฝ่ายตรงข้ามได้มีสีสันมากกว่าผู้ชาย

 

 6. เมื่อถ่ายรูปคู่กัน ผู้หญิงดูอ่อนวัยกว่าผู้ชาย 
          
          เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน คอลลาเจนที่อยู่ในผิวเราก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าผู้ชาย ส่งผลให้ผู้หญิงในช่วงวัยหมดประจำเดือน อาจดูสูงอายุกว่าหนุ่มๆ วัยสี่สิบปลาย ๆ ได้

          แต่เวลาที่ถ่ายรูปคู่กัน กลับเป็นฝ่ายผู้หญิง ที่จะดูอ่อนวัยกว่าผู้ชาย ซะอย่างนั้น ซึ่งก็อธิบายได้ ว่า ผิวของผู้ชายมีความหนากว่า และมักจะเกิดริ้วรอยบนใบหน้า รวมทั้งร่องรอยอาการบาดเจ็บจากการโกนหนวดบนใบหน้าด้วย ดังนั้นเมื่อถ่ายรูปคู่กัน ผู้หญิงจึงดูมีผิวที่เรียบเนียนอ่อนวัยมากกว่าผู้ชาย


ที่มา : www.goosiam.com

ว๊าว เป็นไงครับ ทึ่งกันไปเลยละซี๊ เพราะแบบนี้นี่เอง ทั้งเรื่องการฟังและความรู้สึก หลายๆอย่างเหนื่อกว่าเราซึ่งเป็นผู้ชายแต่ว่าในหลายๆอย่างรู้ซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ดีครับ แล้วพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ