วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

Dead inside

Dead inside

"Dead inside" is a phrase often used to describe a state of emotional numbness or emptiness. It suggests that a person feels devoid of emotion, passion, or enthusiasm for life. They may feel disconnected from their emotions, have a sense of apathy or indifference, and lack the ability to experience joy, sadness, or any other strong emotions. It can also imply a feeling of being worn down, exhausted, or disillusioned with life. This expression is often used figuratively to convey a profound sense of emotional or spiritual emptiness.

Emotional Numbness: Feeling "dead inside" typically refers to a sense of emotional numbness, where one feels detached from their emotions. It can manifest as an inability to experience pleasure or a deep sense of emptiness.

Loss of Meaning: People who feel dead inside may also experience a loss of meaning or purpose in their lives. They may feel disconnected from their goals, relationships, or activities that once brought them joy.

Psychological Distress: This state of emotional emptiness can be a symptom of psychological distress, such as depression, anxiety, or trauma. It may be a coping mechanism to protect oneself from overwhelming emotions or a result of prolonged emotional exhaustion.

Alienation and Isolation: Feeling dead inside can lead to a sense of isolation and alienation from others. It can be challenging to connect with people on an emotional level or to feel understood when experiencing such emptiness.

Seeking Help: If you or someone you know is feeling dead inside and it's affecting their well-being, it's essential to seek support. Speaking with a mental health professional can provide guidance and strategies for coping with these emotions.

It's important to note that while the phrase "dead inside" is commonly used, it's not a clinical term. If you're struggling with intense emotional distress, it's recommended to consult a mental health professional for an accurate diagnosis and appropriate treatment.


Suggest

Seek Professional Help: Consider reaching out to a mental health professional, such as a therapist or counselor. They can provide guidance, support, and specific strategies to help you navigate and address the emotions you're experiencing.


Practice Self-Care: Engage in activities that promote self-care and overall well-being. This can include getting enough sleep, maintaining a healthy diet, exercising regularly, and engaging in hobbies or activities that bring you joy.


Connect with Others: Even if it feels difficult, try to maintain connections with supportive friends, family members, or support groups. Talking to others about what you're experiencing can help alleviate feelings of isolation and provide a sense of understanding.


Express Yourself: Explore creative outlets that allow you to express your emotions and thoughts. This can include writing in a journal, creating art, playing a musical instrument, or engaging in any form of self-expression that resonates with you.


Mindfulness and Meditation: Practice mindfulness and meditation to cultivate a greater awareness of the present moment. These techniques can help you reconnect with your emotions and find a sense of grounding and inner peace.


Set Small Goals: Break tasks into manageable steps and set small goals for yourself. Accomplishing even minor tasks can provide a sense of achievement and motivation, gradually helping you regain a sense of purpose and engagement.


Challenge Negative Thoughts: Pay attention to negative self-talk and try to challenge and reframe those thoughts. Cognitive-behavioral techniques can be helpful in identifying and replacing negative thought patterns with more positive and realistic ones.


Remember, everyone's journey is unique, and it's important to find what works best for you. Don't hesitate to seek professional help and support as you navigate these feelings.





วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

5 ผลไม้บำรุงเลือด ที่ดีต่อสุขภาพ

ทับทิม    
ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือดแดงโดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คน ดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม 
แก้วมังกร 
อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่าแก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น) 
สตรอว์เบอร์รี่ 
ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี่ ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็กๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รี่ช่วยลำเรียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย  
กล้วย 
ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วยช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด  เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) 
แตงโม 
แตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีไนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22  จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

Credit:smartsme

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

พฤติกรรมเหล่านี้แหละ ทำให้สาวออฟฟิศหุ่นพังได้

    สาวออฟฟิศ

              สาวออฟฟิศทั้งหลายเคยรู้สึกบ้างไหมว่า ตั้งแต่เริ่มชีวิตการทำงาน ร่างกายและสุขภาพก็เริ่มชักจะไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะทั้งน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น และอาการเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ที่เป็นอยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะสิ่งที่คุณทำเป็นประจำอย่างไม่รู้ตัวนั่นแหละที่ส่งผลให้เป็นแบบนี้ ว่าแต่จะมีพฤติกรรมไหนที่ทำให้หุ่นของคุณพังไม่เหมือนเดิมบ้าง มาดูกันเลยดีกว่า

    สาวออฟฟิศ
     นั่งแช่ที่โต๊ะ

              สาว ๆ คนไหนที่เอาแต่นั่งแช่ที่โต๊ะทำงานตลอดตั้งแต่เช้าจรดเย็น บอกเลยนะคะว่าแบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะถ้าไม่ลุกออกไปยืดเส้นยืดสาย หรือสูดอากาศข้างนอกบ้างละก็ อาจทำให้คุณป่วยได้ง่าย ๆ อีกทั้งถ้ามัวแต่นั่งแช่อยู่ท่าเดิมนาน ๆ ละก็ ระวังโรค Office Syndrome ปวดหลังปวดไหล่จะถามหาเอาได้นะ

    สาวออฟฟิศ
     เสพติดเครื่องดื่มมากด้วยแคลอรี
              เรียกได้ว่าเครื่องดื่มมากแคลอรี อย่างพวกกาแฟเย็น โกโก้ หรือชานมทั้งหลาย เป็นของคู่กันกับสาวออฟฟิศอยู่แล้ว เพราะเช้าขึ้นมาก็ต้องถือเข้าห้องทำงานกันคนละแก้วสองแก้วทุกวัน เผลอ ๆ บ่ายและเย็นก็จัดมาอีกคนละแก้ว ซึ่งเครื่องดื่มพวกนี้แหละที่มีน้ำตาลซ่อนอยู่เพียบ ถ้าไม่ยอมลดละเลิกบ้าง บอกเลยหุ่นของคุณจะอ้วนเผละภายในเวลาอันรวดเร็วแน่นอน

    สาวออฟฟิศ
     มีขนมวางใกล้มือ

              นั่งทำงานทั้งวันก็ต้องมีหิวกันบ้าง จึงไม่แปลกที่สาว ๆ จะชอบซื้อขนมขบเคี้ยวมาไว้บนโต๊ะเผื่อเวลาหิว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ตั้งแต่ทำงานมาทำไมน้ำหนักของคุณพุ่งพรวดขึ้นจนน่าตกใจ มันเป็นเพราะเจ้าขนมเหล่านี้แหละจ้า

    สาวออฟฟิศ
     นัดสังสรรค์หลังเลิกงานบ่อย

              รู้อยู่แล้วแหละ ว่าหลังเลิกงานก็ยังไม่อยากกลับบ้านเลยซะทีเดียว เพราะรถติด แถมยังอยากปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ อยู่ ยิ่งเย็นวันศุกร์ยิ่งปาร์ตี้ยาวเลยใช่ไหมล่ะ นี่แหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้สาว ๆ หุ่นพังเลยแหละ เพราะทั้งแอลกอฮอล์และอาหารต่าง ๆ ตอนสังสรรค์ มันทำให้อ้วนได้ง่าย ๆ ทั้งนั้น

    สาวออฟฟิศ
     ขี้เกียจออกกำลังกาย

              การออกกำลังกายไม่ใช่เพียงแค่ทำให้หุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้คุณสุขภาพดีห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย ทางที่ดีหลังเลิกงานแทนที่จะชวนเพื่อนไปกินบุฟเฟ่ต์ ก็หันมาชวนกันไปออกกำลังกายดีกว่า เลิกขี้เกียจได้แล้วนะครับ

            
      ถ้าไม่อยากเป็นสาวอ้วนประจำออฟฟิศละก็ เลี่ยง 5 พฤติกรรมที่ได้กล่าวไปในข้างต้นจะดีกว่านะครับ เพราะถ้าหุ่นพังมาก ๆ ละก็ ซ่อมยากกว่าเดิมไม่รู้ด้วยน้าแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

    Credit: kapook

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิว 10 เมนูที่สาว ๆ พึงระวัง


อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิว เตือนสาว ๆ ที่ชอบรับประทานอาหารเป็นชีวิตจิตใจ รู้ไหมว่าอาหารอะไรที่ยิ่งกินก็ยิ่งหิว และอาจทำให้สาว ๆ อ้วนได้ไม่รู้ตัว !

          การเลือกรับประทานอาหารให้เป็น ถือเป็นเรื่องสำคัญของคุณสาว ๆ ที่ต้องการมีหุ่นผอมเพรียวบาง แต่ทั้งนี้สาว ๆ อาจจะยังไม่รู้ตัวว่าอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันนั้นจะเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้สาว ๆ อ้วนได้ง่าย ๆ ก็เพราะว่าทุกวันนี้มีอาหารบางประเภทที่ทำให้สาว ๆ ยิ่งกินก็ยิ่งหิว ยิ่งหิวก็ยิ่งกินเยอะ และสุดท้ายความอ้วนก็จะมาเยือนแบบไม่รู้ตัว ดังนั้นสำหรับสาว ๆ ที่อยากมีหุ่นดี ๆ จึงควรศึกษาเอาไว้เลยนะคะว่ามีอาหารประเภทใดบ้างที่เราต้องพึงระวัง ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมมีข้อมูลของ 10 อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิวมาฝากกันว่าแต่จะมีเมนูอะไรบ้างนะไปดูกันเลย


1. พิซซ่า

          พิซซ่า เป็นแหล่งรวมคาร์โบไฮเดรตชั้นดี เพราะทำมาจากแป้งสาลี น้ำมัน ชีส และที่สำคัญยังมีสารกันบูด ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและความสามารถในการผลิตฮอร์โมนควบคุมความอิ่มลดลง ซึ่งจะทำให้หิวเร็วขึ้นนั่นเอง


 2. ซีเรียล

          ซีเรียลเป็นอาหารที่มีแป้งสาลีและน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ถึงแม้จะเป็นมื้อเช้าที่ง่าย แต่การกินซีเรียลในมื้อเช้านั้นจะทำให้ระดับอินซูลินในร่างกายแปรปรวน ซึ่งจะส่งผลให้ระบบการเผาผลาญน้ำตาลมีประสิทธิภาพน้อยลง ทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนล้าและหิวง่าย



 3. น้ำตาลเทียม

          น้ำตาลเทียม ถึงแม้จะช่วยลดการกินน้ำตาลได้ก็จริง แต่สาว ๆ รู้ไหมคะว่าเจ้าตัวนี้ไม่ได้ทำให้ความหิวน้อยลงเลย แถมยังทำให้เรากินเยอะขึ้นอีกด้วย ก็เพราะว่าสารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลนี้จะไปกระตุ้นเซลล์สมองให้รู้สึกเหมือนกำลังกินน้ำตาลอยู่ ซึ่งจะทำให้เกิดความแปรปรวนในระดับอินซูลินไม่ต่างจากกินน้ำตาลเลย และยังจะทำให้หิวง่ายอีกด้วย


อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิว

 4. ขนมปังขาว

          ขนมปังขาว ทำมาจากข้าวสาลี ที่ถูกสีและแปรรูปจนไฟเบอร์หลุดออกไปหมดแล้ว จึงทำให้แทบจะไม่มีกากใยอาหารเหลืออยู่ จึงไม่แปลกเลยที่จะยิ่งกินแล้วยิ่งหิว


 5. ซูชิ

          ซูชินั้นประกอบไปด้วยข้าวเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่ต่างอะไรจากการกินขนมปังเลย ซึ่งเวลากินเข้าไปจะถูกย่อยอย่างรวดเร็ว แล้วก็จะทำให้หิวเร็วขึ้นนั่นเอง



 6. ผงชูรส

การรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรสเข้าไป จะเป็นการขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนที่ขจัดความหิวและสร้างความรู้สึกอิ่มให้อ่อนประสิทธิภาพลง ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกหิวบ่อยขึ้นนั่นเอง


อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิว
 7. แอลกอฮอล์

          การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้คุณหิวมากขึ้น เพราะแอลกอฮอล์จะเข้าไปทำลายการทำงานของฮอร์โมนที่จะช่วยขจัดความหิวมากถึง 30% เลยทีเดียว


 8. อาหารฟาสต์ฟู้ด

          ฟาสต์ฟู้ด นับว่าเป็นอาหารที่ไม่มีไฟเบอร์ที่ทำให้รู้สึกอิ่มท้อง แถมยังทำให้เกิดการแปรปรวนของระดับอินซูลินในร่างกายอีกด้วย จึงไม่แปลกเลยที่จะทำให้คุณรู้สึกหิวเร็ว หลังจากที่กินอาหารฟาสต์ฟู้ดเข้าไปไม่นาน



 9. ขนมขบเคี้ยว

          ขนมขบเคี้ยวมักจะมีรสเค็ม ซึ่งความเค็มนี่แหละที่จะเข้าไปกระตุ้นการคายน้ำของร่างกายและทำให้เกิดความกระหาย ทำให้อยากดื่มหวาน ๆ และอยากกินอย่างอื่นเพิ่มอีก


 10. น้ำผลไม้

          สาว ๆ รู้ไหมครับว่าน้ำผลไม้ที่วางขายตามร้านค้าทั่วไปนั้นไม่มีกากใยอะไรเลย เมื่อดื่มเข้าไปนอกจากจะไม่อยู่ท้องแล้ว ยังทำให้หิวมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

          และนี่ก็คือ 10 เมนูอาหารที่ยิ่งกินก็ยิ่งหิว เมื่อสาว ๆ รู้แล้วเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงเลยนะครับ เพราะอาหารพวกนี้แหละที่จะทำให้สาว ๆ หิวเร็วขึ้น แถมยังต้องอะไรกินต่ออีกเรื่อย ๆ สุดท้ายระวังจะอ้วนไม่รู้ตัวเอาได้นะครับผมแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สูตรลดน้ำหนักภายใน 3 วัน

 สูตรลดน้ำหนัก 3 วัน ทำได้จริงไหม ? แล้วต้องทำอย่างไร ? อยากรู้มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลยครับ
          สำหรับการเร่งลดน้ำหนักแบบฮาร์ดคอร์ภายในเวลาอันรวดเร็วนั้น จริง ๆ แล้วถือเป็นวิธีที่ค่อนข้างจะเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนนี้อาจจะทำให้มวลกล้ามเนื้อของเราหายไปแทนที่จะเป็นไขมันก็เป็นได้ และนอกจากนี้หากเลิกควบคุมน้ำหนักแล้วอาจจะเกิดผลโยโย่ตามมาได้อีกเช่นกัน ซึ่งโดยปกติแล้วการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีนั้นควรจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปจะดีที่สุด

          แต่ทั้งนี้สำหรับสาว ๆ ที่กำลังประสบปัญหากับน้ำหนักตัวที่กำลังเพิ่มขึ้น และอีกไม่กี่วันจะต้องออกงานด้วยชุดตัวโปรด แต่กลับต้องเซ็งเพราะมีต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และสะโพกที่ใหญ่ขึ้น ก็อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ เพราะความจริงแล้วการคุมน้ำหนักให้ลดลงในเวลาอันรวดเร็วนั้นสามารถทำได้อยู่ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ถึงกับฮาร์ดคอร์จนเกินไป ซึ่งสูตรที่กระปุกดอทคอมเอามาแนะนำสาว ๆ ในวันนี้ จะเป็นสูตรสำหรับลดน้ำหนักเพื่อกระชับสัดส่วนต่าง ๆ ให้ดูดีขึ้นและปรับกระเพาะอาหารให้มีขนาดเล็กลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยเพื่อเตรียมตัวก่อนออกงานปาร์ตี้หรืองานในโอกาสสำคัญต่าง ๆ โดยสามารถปฏิบัติตามได้ดังนี้

วันที่ 1
  • มื้อเช้า ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น ทาน้ำผึ้งเล็กน้อย กับ น้ำส้ม, ชา หรือกาแฟ (ไม่ใส่น้ำตาล)
  • มื้อกลางวัน ถั่วฝักยาวต้ม 1 ถ้วย, ปลาทูน่ากระป๋องในน้ำแร่ 1 กระป๋อง, สลัดผักน้ำใส, ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น ทานกับน้ำแครอท หรือชา-กาแฟ (ไม่ใส่น้ำตาล)
  • มื้อเย็น ข้าวกล้อง 1 ถ้วย ทานกับอกไก่ย่าง และสลัดผักน้ำใส


วันที่ 2
  • มื้อเช้า ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ห้ามทาเนยหรือแยม, ไข่ต้ม 1 ฟอง กับ น้ำส้ม, ชา หรือกาแฟ (ไม่ใส่น้ำตาล)
  • มื้อกลางวัน ยำผลไม้รวม, โยเกิร์ต 1 ถ้วย, น้ำผลไม้สดไม่ใส่น้ำตาล 1 แก้ว
  • มื้อเย็น เนื้อปลากะพงนึ่ง 1 ชิ้น, มันฝรั่งต้ม 1 หัว และน้ำมะเขือเทศ



วันที่ 3

  • มื้อเช้า ซีเรียล 1 ถ้วย, โยเกิร์ตรสธรรมชาติ, กล้วยหอมครึ่งลูก กับ น้ำส้ม, ชา หรือกาแฟ (ไม่ใส่น้ำตาล)
  • มื้อกลางวัน แซนวิชอกไก่ขนมปังโฮลวีต สลัดผักน้ำใสใส่ไข่ต้ม 1 ฟอง กับชา หรือกาแฟ (ไม่ใส่น้ำตาล)
  • มื้อเย็น ข้าวกล้อง 1 ถ้วย ทานกับเนื้อหมูหรือวัวไม่ติดมันย่าง 1 ชิ้นเล็กกับน้ำจิ้มแจ่ว และน้ำผลไม้สดไม่ใส่น้ำตาล
          สำหรับสูตรลดน้ำหนักนี้จะช่วยทำให้น้ำหนักของคุณสามารถลดลงได้ประมาณ 2-3 กิโลกรัมภายใน 3 วัน แต่ทั้งนี้ไม่ถึงกับเป็นสูตรลดน้ำหนักแบบฮาร์คคอร์และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเพียงเล็กน้อย และต้องการกระชับสัดส่วนให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม รับรองว่าทำได้ง่ายแถมไม่ต้องกังวลว่าจะเสี่ยงอันตรายอีกด้วยแล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อาหารอิ่มท้อง มิตรแท้ของคนไดเอต




























เห็นหลายคนช่วงนี้ทำการไดเอตกันอย่างจริงจัง ทั้งออกกำลังกายและควบคุมอาหาร วันนี้ก็เลยมีอาหารมาแนะนำที่ช่วยสำหรับคนไดเอตทั้งได้อิ่มท้องกันและรับไฟเบอร์สูงอีกด้วย มาเริ่มกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้างเอ่ย


 เมล็ดเจีย

  เมล็ดเจียเม็ดเล็ก ๆ มีทั้งสีขาวและดำที่ดูเผิน ๆ เหมือนไม่มีรสชาติอะไร แต่ถ้าลองนำไปประกอบอาหารก็จะช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารนั้น ๆ ได้ดีทีเดียว เช่น  ทำเมนูสมูธตี้ กินคู่กับโยเกิร์ต ทำสเปรดทาขนมปัง (Spread) หรือโรยในสลัดผัก เป็นต้น และถ้าหากพูดถึงประโยชน์ของเมล็ดเจียแล้วจะต้องตกใจกันแน่ เพราะเมล็ดเจียตัวจิ๋วเหล่านี้อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้าทรีมากกว่าในปลาแซลมอนถึงร้อยละ 30 มีไฟเบอร์สูงถึงร้อยละ 42 และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลบลูเบอร์รีอีกด้วย เรียกได้ว่าเมล็ดเจียเป็นอาหารอันดับต้น ๆ ที่คนกำลังไดเอตควรนึกถึงเลยล่ะ

กระเจี๊ยบเขียว

หนึ่งในผักเครื่องเคียงจิ้มน้ำพริกอย่างกระเจี๊ยบเขียวนั้น ที่ถึงแม้ว่าจะมีไฟเบอร์เพียงร้อยละ 10  แต่คงคาดไม่ถึงกันแน่ ๆ ว่ากระเจี๊ยบเขียวก็ช่วยให้แผนไดเอตของเราสำเร็จผลได้ เพราะในกระเจี๊ยบเขียวมีแคลอรีต่ำเพียง 30 แคลอรี อีกทั้งยังอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินซี โฟเลต แคลเซียม ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียม เราจึงสามารถกินต้านหิวได้ตลอดทั้งวัน โดยนำไปทำเป็นเมนูกระเจี๊ยบนึ่งจิ้มน้ำพริก หรือเมนูผัดพริกแกงก็ได้

โอ๊ตมีล

โอ๊ตมีลก็เป็นหนึ่งในอาหารคลีนที่คนไดเอตหันมาให้ความสนใจ เพราะกินแล้วอิ่มท้องนานทำให้เราอยากกินจุบจิบน้อยลงด้วย โอ๊ตมีลปรุงสุก 1 ถ้วยตวงให้พลังงานต่ำเพียง 145 แคลอรี และอุดมด้วยไฟเบอร์ที่มากถึงร้อยละ 40  ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ โอ๊ตมีลสามารถดัดแปลงเป็นเมนูอิ่มท้องอย่างง่าย ๆ ได้อย่างหลากหลาย เพียงแค่เพิ่มคุณค่าจากนม ผัก ผลไม้ หรือธัญพืช เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ด้านอื่น ๆ ต่อสุขภาพด้วย เห็นได้จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร  American Journal of Lifestyle Medicine เผยว่า โอ๊ตมีลเป็นอาหารที่มีสารอาหารเบต้ากลูแคน ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด  และช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ รู้แบบนี้แล้ว ต้องหันมากินโอ๊ตมีลกันเยอะ ๆ

 ลูกแพร์

รู้กันหรือไม่ว่า ลูกแพร์เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์เพคตินอยู่ร้อยละ 24 ซึ่งเป็นปริมาณไฟเบอร์ที่มากกว่าผลแอปเปิลซะอีก ที่สำคัญคือ เปลือกของลูกแพร์นี่แหละที่อุดมด้วยประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และช่วยบำรุงหลอดเลือดของเราให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งถ้าหากเราปอกเปลือกลูกแพร์ทิ้งไปก็เท่ากับว่าคุณค่าที่ควรจะได้จากผลลูกแพร์นั้นหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ข้าวบาร์เล่ย์

ข้าวบาร์เล่ย์เป็นธัญพืชที่มีไฟเบอร์สูงถึงร้อยละ 75 เลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถนำมาดัดแปลงเป็นเมนูต่าง ๆ ได้อีกด้วย เช่น เพิ่มในสลัดผัก ทำเป็นเมนูซุป โจ๊ก ข้าวต้ม หรือแม้แต่เพิ่มในเครื่องดื่มต่าง ๆ ได้ ซึ่งเมื่อเรากินข้าวบาร์เล่ย์เข้าไปแล้ว กากใยจะถูกย่อยให้แตกตัวเป็นกรดบิวไทลิก (Butyric acid) มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และยังบำรุงหัวใจอีกด้วย นับว่าข้าวบาร์เล่ย์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยอิ่มไม่อ้วนที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

กะหล่ำดาว

 กะหล่ำดาวลูกเล็ก ๆ นั้นมีไฟเบอร์อยู่ร้อยละ 16  และมีแคลอรีต่ำอีกด้วย โดยกะหล่ำดาวปรุงสุก 1 ถ้วยตวง หรือประมาณ156 กรัม ให้พลังงานเพียง 56 แคลอรีเท่านั้นเอง ซึ่งนอกจากกินแล้วอิ่มท้องดี ไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังสามารถต้านมะเร็งได้อีกด้วย โดยจากข้อมูลของ American Cancer Society เผยว่า กะหล่ำดาวอุดมด้วยสารต้านมะเร็งที่เรียกว่า กลูโคซิโนเลท (Glucosinolate) ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้

ถั่วแดง

อีกหนึ่งตัวช่วยอิ่มท้องแบบไม่อ้วนที่น่าสนใจก็คือ ถั่วแดง ที่มีโปรตีนเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ โดยถั่วแดงเพียง 1 ถ้วยตวงมีโปรตีนเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ 28 กรัม จึงสามารถกินทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ เช่น ไก่ ปลาทูน่า ไก่ง่วง ที่สำคัญคือ ยังให้ความอิ่มท้องแบบแคลอรีต่ำด้วย นั่นคือ ถั่วแดงปรุงสุก 1 ถ้วยตวง ให้พลังงาน 225 แคลอรี และมีไฟเบอร์ประมาณร้อยละ 25 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน แต่สิ่งสำคัญที่สาวรักหุ่นควรระวังคือ หลีกเลี่ยงการปรุงถั่วแดงด้วยรสเค็ม หวาน หรือถั่วแดงบรรจุกระป๋องนะ เพราะอาจทำให้การไดเอตไม่เห็นผลเท่าที่ควร

ถั่วชิคพี (Chickpeas)

 สำหรับคนที่ต้องการไดเอตสามารถนำถั่วชิคพีไปปรุงอาหาร หรือนำไปต้มสุกเป็นของกินเล่นก็ได้ เพราะถั่วชิคพีปรุงสุก 1ถ้วยตวง ให้พลังงาน 269 แคลอรี และมีไฟเบอร์อยู่ร้อยละ 20 นอกจากนี้แล้ว ถั่วชิคพียังช่วยบำรุงหัวใจอีกด้วย จากผลการวิจัยเผยว่า การกินถั่วชิคพีมากกว่า 4 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจตีบได้ถึงร้อยละ 22 อย่างไรก็ตาม หากต้องการไดเอตให้ได้ผล ควรหลีกเลี่ยงการต้มถั่วชิคพีกับเกลือ น้ำตาล หรือถั่วชิคพีบรรจุกระป๋อง

ส้ม

 เป็นที่รู้กันดีว่า กินส้มแล้วไม่อ้วนแน่นอน แต่เชื่อหรือไม่ว่า ส่วนใหญ่เรากินส้มผิดวิธี ทำให้ได้รับประโยชน์จากส้มได้ไม่เต็มที่ เพราะส่วนของผลส้มที่ทำให้กินแล้วอิ่มก็คือ กากใยส้มนั่นเอง ซึ่งมีไฟเบอร์เพคตินอยู่สูงถึงร้อยละ 70 เลยทีเดียว หากเราดึงใยส้มออกแล้ว ไฟเบอร์ในผลส้มจะลดคุณค่าลงเหลือเพียงร้อยละ 12 เท่านั้น ดังนั้น ใครที่กินผลส้มตอนไดเอตอยู่ต้องกินใยส้มด้วยนะ

 เจลาติน  

จากผลการวิจัยในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2005 ที่ถูกตีพิมพ์ในหัวข้อ Diabetes, Obesity and Metabolism เผยว่า อาหารประเภทเจลาตินนั้นมีผลต่อการควบคุมน้ำหนักตัว ช่วยป้องกันโรคเบาหวานประเภท 2 ลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยรักษาสมดุลความดันโลหิตได้ ซึ่งอาหารประเภทเจลาตินที่ว่านี้ก็คือ อาหารประเภทวุ้น เส้นบุก และสาหร่ายนั่นเองค่ะ เพราะอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยไฟเบอร์สูงถึงร้อยละ 80 และมีแคลอรีเป็นศูนย์ เนื่องจากไม่มีสารอาหารใด ๆ เลย มีแต่เส้นใยไฟเบอร์ล้วน ๆ เราจึงกินแล้วอิ่มอยู่ท้อง อย่างไรก็ตาม การกินเจลาตินเพื่อลดน้ำหนัก สาว ๆ ต้องระวังแคลอรีที่มากับสารปรุงแต่งรสชาติให้ดีด้วยนะคะ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของวุ้นหลากสี เครื่องดื่มเจลาติน เครื่องดื่มบุกผง หรือแม้แต่สาหร่ายปรุงรสชนิดต่าง ๆ หากเผลอกินมากไปละก็ อ้วนแน่นอน

อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าอาหาร 10 อย่างที่เรานำมาฝากนี้จะมีไฟเบอร์สูง เหมาะสำหรับช่วงไดเอตอย่างแท้จริงก็ตาม แต่เราก็ไม่ควรละเลยอาหารหมู่หลักนะ เพียงแต่ควบคุมให้อยู่ในปริมาณที่พอดีเท่านั้น นอกจากนี้แล้วยังต้องควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วยแล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประโยชน์จากเนื้อไก่ที่คุณอาจยังไม่รู้ !

ผมเห็นว่ามีหลายคนชอบกินเนื้อไก่เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งเนื้อไก่ให้สารอาหารต่างๆมากมายไม่แพ้กัน ก็มีการวิจัยเป็นจำนวนมากว่าเนื้อไก่เป็นอาหารอย่างหนึ่งที่พวกเราขาดไม่ได้ แต่ยังไงซะลองมาดูคุณประโยชน์ 10 อันดับดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ลองรับชมกันดูครับ


1.ต้านทางโรคซึมเศร้าได้

เนื้อไก่จะมีสารอย่างหนึ่งที่เรียกว่าทริปโตเฟน ที่เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ ที่สามารถต้านทางอาการซึมเศร้าได้ ไม่แปลกที่หลายคนกินเนื้อไก่มากๆแล้วจะมีอารมณ์ที่แปรปรวนไปมาก เพราะว่ามีสารเซโรโทนินที่ช่วยในการนอนหลับได้

2.ลดน้ำหนักได้

เนื้อไก่ถือเป็นแหล่งรวมโปรตีนมากมายและช่วยให้เราลดน้ำหนักตัวเองได้ ฟังแล้วก็อาจจะดูแปลกๆอยู่บ้าง แต่จริงๆแล้วเนื้อไก่มีส่วนสำคัญในการช่วยลดน้ำหนักทางหน้าท้องด้วย

3.ป้องกันอาการเหนื่อยล้า

เนื้อไก่โดยเฉพาะตับไก่ถือเป็นแหล่งรวมวิตามินบี 12 ที่ช่วยบำรุงการทำงานเซลล์เม็ดเล็ดและช่วยให้เรามีความสดชื่นมากขึ้นกว่าเดิม

4.เสริมสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ

แน่นอนว่าเนื้อไก่เป็นแหล่งของโปรตีน ที่จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและก็ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอกไป ทั้งยังบำรุงผิว เส้นผม เล็บและกระดูกได้เป็นอย่างดี

5.เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค

เนื้อไก่จะช่วยบำรุงร่างกายให้กับเราได้หลายอย่าง ซึ่งเนื้อไก่เองก็ถือเป็นแหล่งรวมเหล็ก ที่จะช่วยต้านทานภูมิคุ้มกันในร่างกายให้กับเราได้ ทั้งมะเร็งก็ดี หรือโรคร้ายต่างๆก็ดี

6.บำรุงสายตา

เนื้อไก่ถือเป็นแหล่งอาหารที่มีวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงเรื่องสายตาของเราให้ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่าการกินเนื้อก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการบำรุงสายตาตัวเอง

7.บำรุงสุขภาพ

โดยเฉพาะตับไก่ที่จะมีสารอาหารวิตามินบี 12 ที่จะช่วยบำรุงสุขภาพได้ดี ทั้งยังเสริมสร้างและซ่อมแซมผิวพรรณของเราให้กับมาแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง และยังต้านทานอาการเจ็บแสบปวดร้อนภายในปาก ลิ้นให้กับเราได้ เพราะว่ามันก็มีวิตามินบี 2 ที่ช่วยเรื่องนี้ได้อยู่เหมือนกัน

8.รักษาต่อมไทรอยด์

การกินเนื้อไก่จะช่วยบำรุงต่อมไทรอยด์กับเราได้เป็นอย่างดี ที่มีสารซีลีเนียมที่เป็นแหล่งรวมไอโอดีนที่จะช่วยบำรุงต่อมไทรอยด์ได้เป็นอย่างดี

9.ช่วยบำรุงลูกในครรภ์

โดยเฉพาะตับไก่ที่จะมีสารโฟเลตที่ช่วยบำรุงลูกในครรภ์ได้เป็นอย่างดี คนที่ตั้งครรภ์จะต้องบริโภคตับไก่ให้มากๆเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตให้กับลูกตัวเอง และยังช่วยลดความเครียดระหว่างที่ตั้งครรภ์ได้ด้วย

10.ช่วยเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้

เนื้อไก่จะมีสารอาหารประเภทวิตามินบี 3 ไนอาซินจะช่วยเสริมสร้างระบบการเรียนรู้ให้กับเรา การกินเนื้อไก่จะช่วยบำรุงในเรื่องของดีเอ็นเอหรือยีนทางพันธุกรรมในร่างกายของเรา ทำให้เราสามารถตอบสนองการเรียนรู้ในแต่ละช่วงอายุได้ดียิ่งขึ้น

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ รู้อย่างนี้คนที่ชอบกินเนื้อไก่ก็คงชอบมากกว่าเดิมนะครับ แต่หากใครสนใจก็ลองหันมาทานเนื้อไก่กันมากขึ้นนะครับ แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ  B-Healthy สุขภายง่ายๆเริ่มต้นที่ตัวเรา สวัสดีครับ